วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เรื่องเหลือเชื่อ

1. เส้นเลือดในร่างกายมนุษย์มีความยาวรวม 62,000 ไมล์ ถ้านำมันมาเรียงต่อกันเป็นทางยาวจะได้ความยาว ถึง 2.5 เท่าของเส้นรอบวงโลก
2. The Great Barrier Reef (แนวปะการังที่ยาวทีสุดในโลกบริเวณออสเตรเลีย) เป็นโครงสร้างสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีความยา วกว่า 2000 กิโลเมตร
3. โอกาสที่โลกจะถูกโจมตีด้วยอุกาบาตขนาดใหญ่ อยู่ที่ 9300 ปีต่อครั้ง
4. ดาวนิวตรอนขนาดเท่าหัวแม่มือมีน้ำหนักกว่า 100 ล้านตัน
5. พายุเฮอริเคนหนึ่งลูกผลิตพลังงานเท่ากับระเบิดขนาด 1 เมกะตันจำนวน 8000 ลูก
6. คาดว่ามีพยาธิปากขอ ซึ่ึงดูดเลือดเป็นอาหารอยู่ในร่างกายมนุษย์โลกเรา 700 ล้านคน
7. Fred Rompelberg คือผู้ขี่จักรยานด้วยความเร็วที่สุดในโลกด้วยความเร็ ว 166.94 ไมล์ต่อชั่วโมง
8. มนุษย์เราสามารถคิดค้นแสงเลเซอร์ที่มีความสว่างกว่าแ สงอาทิตย์ 1 ล้านเท่า
9. 65% ของผู้ป่วยออทิสติคส์ เป็นคนถนัดซ้าย
10. Finnish pine tree (ต้นสนชนิดหนึ่งในฟินแลนด์) มีความยาวของรากแต่ละต้นรวมแล้วกว่า 30 ไมล์
11. จำนวนเกลือที่อยู่ในน้ำทะเลทัี่วโลกเรา สามารถปกคลุมพื้นผิวทวีปทั่วโลกได้หนากว่า 500 ฟุต
12. กลุ่มแก๊สระหว่างหมู่ดาวในราศีธนู มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์นับหมื่นล้านล้านลิตร
13. หมีขั้วโลกสามารถวิ่งด้วยความเร็ว 25 ไมล์ต่อชัวโมง และกระโดดได้สูงกว่า 6 ฟุต
14. มนุษย์และปลาโลมาสืบสายพันธ์เดียวกันมาตั้งแต่ 60 - 65 ล้านปีก่อน
15. กล้อง infared จับภาพหมีขั้วโลกได้ยากมาก เนื่องจากคุณสมบัติของขนของมัน
16. เฉลี่ยแล้วในหนึ่งปี คนเราจะกินสัตว์จำพวกเห็บลิ้นไร โดยไม่ได้ตั้งใจไป 430 ตัวต่อคนต่อปี
17. รากของต้น Rye(ข้าวชนิดหนึ่งใช้หมักสุรา) สามารถแผ่ขยายไปได้ถึง 400 ไมล์
18. อุณหภูมิบนพื้นผิวของดาวพุธสูงกว่า 430 องศาเซลเซียสในเวลากลางวัน แต่ลดลงต่ำกว่า ติดลบ 180 องศาเซลเซียสในเวลากลางคืน
19. ภายใน 24 ชั่วโมง ต้นโอ๊กขนาดใหญ่ขับน้ำ(ในรูปของไอน้ำ)ออกมา 10 - 25 แกลลอน
20. ผีเสื้อรับรู้รสด้วยขาหลังของมัน โดยประสาทการรับรู้ทำงานโดยการสัมผัส ทำให้มันรู้ว่าใบไม้และดอกไม้ที่มันสัมผัส มีรสชาติอย่างไรและกินได้หรือไม่

10 เคล็ดลับนอนหลับสบาย

นอนเถอะค่ะ... แล้วพรุ่งนี้ทุกอย่างจะดีเอง คำพูดนี้อาจฟังดูไม่สมเหตุสมผล แต่เชื่อเถอะว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะการหลับสนิทในช่วงที่ร่างกายต้องการพักผ่อนคือการชาร์จพลังที่ดีที่สุด ที่มอบคุณประโยชน์มหาศาลทั้งร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา น่าตกใจกับผลการวิจัยในสหรัฐอเมริกาชิ้นหนึ่งที่พบว่าเมืองนิวยอร์กทั้งเมืองล้วนเต็มไปด้วยสาวก Sleepless Society คนนอนไม่หลับมากมาย ในจำนวนนี้ยังได้หมายรวมไปถึงกลุ่มคนที่พยายามจะนอนให้หลับ และกลุ่มคนที่เทคยานอนหลับด้วย จากการแยกแยะวิเคราะห์พฤติกรรมและผลกระทบยืนยันว่า คนส่วนใหญ่เป็นหนุ่มสาวที่มีอายุระหว่าง 25-35 ปี ซึ่งมีความเคร่งเครียดหลักจากสภาวะกดดันเรื่องความก้าวหน้าในการงาน และค่าครองชีพ การนอนไม่หลับอันเนื่องจากไม่รู้จัก Shut Down ความคิดที่วนเวียนในสมองนี้ ยังส่งผลให้เกิดอาการซึมเศร้า หดหู่ ที่กระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน และความคิดสร้างสรรค์อีกด้วย และเมื่อเป็นอย่างนี้นานเข้า มันก็จะเริ่มก่อตัวเป็นวัฏจักรที่ไม่สิ้นสุด นั่นคือ เครียด-นอนไม่หลับ-หดหู่ซึมเศร้า-ขาดพลังงานและความคิดสร้างสรรค์-ผลงานไม่น่าประทับใจ-วิตกจริต และกลับมาสู่วงจรแห่งความเครียดซ้ำซ้อน นักวิชาการทั่วโลกต่างออกมายืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า... นี่คือมหันตภัยทางจิต ของเวิร์กกิ้งแมนและวูแมนทั่วโลกแห่งปี 2008 ที่น่ากลัว 9 Checks, Are You A Sleepless Society? ลองมาเช็กดูกันดีกว่าว่าวันนี้คุณมีอาการเข้าใกล้วงจรนอนไม่หลับแค่ไหน...คุณมีอาการแบบนี้หรือเปล่า • หลับตานานแล้ว แต่สมองยังไม่หยุดคิด • มักรู้สึกตัวระหว่างนอนหลับเป็นระยะๆ • ระหว่างหลับรู้สึกว่าสมองยังคิดและกังวล • ไม่อยากตื่นทั้งที่รู้สึกว่านอนมานานแล้ว • ความคิดตื้อตันไม่ทันใจ • ง่วงนอนระหว่างวัน • รู้สึกซึมเศร้าอย่างไม่มีสาเหตุ • ปวดหัว และอ่อนเพลียง่าย • ตื่นด้วยความงัวเงียไม่แจ่มใส แม้จะอาบน้ำและแปรงฟัน 10 Ways to Sleep Well ใช้ชีวิตเปลี่ยนแนว เพื่อการนอนหลับที่เป็นสุขและหมดทุกข์เรื่องเครียดกังวล กับ 10 คำแนะนำเหล่านี้ 1. เข้านอนก่อน 4 ทุ่ม และตื่น 6 โมงเช้า เพราะนี่คือช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการพักผ่อนร่างกาย 2. สะสาง วางแผนสิ่งที่กังวลที่จะทำในวันต่อไปให้เรียบร้อยเพื่อลดอาการวิตกจริต และคิดซ้ำซาก 3. บอกกับตัวเองว่าการเครียดกังวล และใช้สมองในช่วงที่ต้องนอนหลับนั้นเปล่าประโยชน์ เนื่องจากสติ สัมปชัญญะ และความอ่อนล้าของร่างกายคืออุปสรรค ดังนั้น นอนหลับให้สนิทแล้วตื่นมาคิดอย่างแจ่มใส ย่อมให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพดีกว่า 4. ถ้าคุณนอนหลับยาก ควรออกกำลังกายในช่วงเย็น หรือ 4-6 ชั่วโมงก่อนนอน แต่อย่าทำใกล้เวลานอน 5. ปรับอุณหภูมิห้องให้เย็นระหว่าง 17-25 องศาเซลเซียส แล้วจะหลับง่ายสบายบอดี้ 6. เสริมเครื่องฟอกอากาศในห้องนอนเพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนที่สมดุล จะนอนหลับลึกได้ต่อเนื่อง 7. ความมืดมิดและไร้เสียง คือเคล็ดลับที่จะทำให้หลับได้สนิทและยาวนาน 8. ดื่มหรือรับประทานอาหารที่มีองค์ประกอบของกรด อะมิโน Tryptophan จากโปรตีน อย่างธัญพืช หรือเครื่องดื่ม Whole Grains ก่อนนอน จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายปล่อยสาร Niacin จากวิตามินบี 5 ทำให้สมองและร่างกายผ่อนคลาย และง่วงนอนง่ายขึ้น 9. สร้างกิจวัตรใหม่ด้วยการเข้านอนและตื่นให้เป็นเวลาเดียวกันทุกวัน ลองทำแค่ 1 อาทิตย์ ติดต่อกัน ร่างกายก็คุ้นเคยแล้ว 10. หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ และช็อกโกแลตระหว่างวัน เพราะกาเฟอีนที่ผสมอยู่จะทำให้ร่างกายตื่นตัว สมองคืออาวุธที่จะมีประสิทธิภาพที่สุดเมื่อถูกนำมาใช้ในเวลาที่แจ่มใสที่สุด ดังนั้น ถ้าใครยิ่งต้องการความก้าวหน้า และความเฉียบแหลม จึงยิ่งต้องบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือการรู้จัก...ใช้เมื่อพร้อมถึงขีดสุด และหยุดดูแลเมื่อเต็มล้า

5นักวิทยาศาสตร์ที่โชคร้ายที่สุด

หลุยส์ สโลทิน/อเล็กซานเดอร์ บอกกานอฟเดอะลิสต์ยูนิเวิร์สต์ เจ้าของเว็บไซต์ http:/ listverse.com/ จัดอันดับ 5 นักวิทยาศาสตร์โชคร้ายที่สุดในโลก ที่เสียชีวิตเพราะการทดลองของตนเอง การทดลองของท่านเหล่านี้ สร้างประ โยชน์ให้กับมนุษยชาติ แม้ต้องแลกกับชีวิต นักวิทยาศาสตร์ที่โชคร้ายที่สุดลำดับแรกคือ นายหลุยส์ สโลทิน (1 ธันวาคม ค.ศ. 1910 - 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1946) ชาวแคนาดา ทำงานให้กับโครงการ "แมนฮัตตันโปรเจ็กต์" ขณะทำการทดลอง สโลทินทำลูกบีรีเลียมตกลงบนลูกบีรีเลียมอีกลูกหนึ่ง ทำให้เกิดปฏิกิริยาอย่างรุนแรงขึ้นมา เนื่องจากลูกบีรีเลียมหุ้มด้วยพลูโตเนียม ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า เห็นแสงสีฟ้าในอากาศและรู้สึกว่ามีคลื่นความร้อน สโลทินเสียชีวิตในอีก 9 วันต่อมา พบว่า รังสีที่เขาได้รับเหมือนกับยืนอยู่ห่างจากระเบิดปรมาณู 4,800 เมตรเท่านั้น
อลิซาเบธ แอสเชม/ เดอ โรสิเอร์คาร์ล สคีลอันดับ 2 อเล็กซานเดอร์ บอกกานอฟ (22 สิงหาคม ค.ศ. 1873 - 7 เมษายน ค.ศ. 1928) เป็นทั้งแพทย์ นักปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์ นักเขียนนวนิยายไซไฟ ชาวรัสเซีย เมื่อค.ศ. 1924 เขาทำการทดลองเรื่องการถ่ายเลือด มีตัวเองเป็นหนูทดลอง เพื่อหาวิธีสร้างความอ่อนเยาว์ และปี 1928 เขาเสียชีวิตเพราะเลือดที่ผู้บริจาคให้มามีเชื้อมาลาเรียและวัณโรค อันดับ 3 อลิซาเบธ แอสเชม สมรสกับน.พ.วูล์ฟ ที่มีความสนใจด้านรังสีเอกซเรย์ ทำให้เธอสนใจศาสตร์ด้านนี้ด้วย ทั้งสองซื้อเครื่องเอกซเรย์มา นับเป็นห้องทดลองเอกซเรย์แรกของนครซานฟรานซิสโก ทั้งวูล์ฟและภรรยาใช้ตนเองทดลองโดยไม่ทราบผลกระทบของรังสี ภายหลังเธอเสียชีวิตเพราะโรคมะเร็งอันดับ 4 ฌอง ฟรังซัวร์ เดอ โรสิเอร์ (30 มีนาคม ค.ศ. 1754 - 15 มิถุนายน ค.ศ. 1785) เป็นนักฟิสิกส์และนักเคมีชาวฝรั่งเศส จากการที่เขาเห็นบอลลูนลูกแรกของโลกที่ลอยขึ้นไปในท้องฟ้า ทำให้เขาอยากจะบิน หลังจากนำแกะ ไก่ เป็ดทดลองขึ้นไปบนบอลลูน เขาทำการทดลองกับตนเองโดยพยายามบินข้ามช่องแคบอังกฤษ แต่เมื่อบอลลูนขึ้นไปถึงระดับ 1,500 ฟุต ก็ตกลงมา ทำให้เขาและคู่หมั้นเสียชีวิตอันดับ 5 คาร์ล สคีล (19 ธันวาคม ค.ศ.1742 - 21 พฤษภาคม ค.ศ. 1786) เป็นนักเคมีชาวสวีเดนและเป็นผู้ค้นพบออกซิเจน ทังสเตน แมงกานีส คลอรีน เป็นผู้มีนิสัยชอบชิมรสสารเคมีที่ค้นพบใหม่ๆ ชิมไฮโดรเจนไซยาไนด์แต่รอดชีวิตมาได้ ท้ายสุดมีอาการเหมือนกับได้รับสารปรอท
ที่มา หนังสือพิมพ์ข่าวสด

รู้หรือไม่พีระมิตต้องใช้คนสร้างกี่คน

ในบรรดาเหล่าโบราณสถานทั้งหลายที่คนโบราณสร้าง ไม่มีถาวรวัตถุใดประทับใจมนุษย์ปัจจุบันได้มากเท่าพีระมิด ความเชื่อมั่น ในศาสนาอย่างจริงจังของชาวอียิปต์เมื่อ 4,800 ปี ก่อนได้ผลักดันให้พวกเขา “เนรมิต” สิ่งมหัศจรรย์สิ่งหนึ่งของโลกขึ้นมาเพื่อถวายเป็นกษัตริย์บูชาแก่องค์ฟาโรห์ ที่เขานับถือประดุจเทพเจ้า
ผู้คนชาวอียิปต์ในสมัยนั้นนิยมฝังศพในหลุมกลางทะเลทราย ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าวศพที่จะฝังจะเน่าเปื่อยไม่หมด บางศพจึงมีผิวหนังและผมหลงเหลืออยู่ การได้เห็นซากศพที่มีลักษณะเช่นมัมมี่ได้ทํ าให้ผู้คนสมัยนั้นมีความคิดจะเก็บพระศพขององค์ฟาโรห์ ในสุสานพิเศษที่เรียกพีระมิดบ้าง
กษัตริย  Zoser เป็นกษัตริย์ระองค์แรกที่ทรงสร้างพีระมิดขึ้นที่เมือง Memphis และในเวลาต่อมาอีกไม่นานกษัตริย์ Khufu ก็ได้สร้างพีระมิดขนาดใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นที่เมือง Giza พีระมิดนี้สูง 146.7 เมตร มีฐานกว้างและยาว 230 เมตร ประกอบด้วยหิน 2 ล้าน 3 แสนก้อนหิน แต่และก้อนมีนํ้ าหนักโดยเฉลี่ย 2.5 ตัน มีประตูเปิด เข้าสู่ภายในพีระมิดที่ระดับเหนือพื้นดิน 18 เมตร Herodotus ได้เคยบันทึกไว้ว่า การสร้างพีระมิดลูกนี้ต้องใช้คน 1 แสนคน และเวลาในการก่อสร้างนาน 30 ปี
แต่ Herodotus เขียนข้อมูลนี้หลังจากที่พีระมิดถูกสร้างเสร็จแล้ว 2,000 ปี ดังนั้นข้อมูลเขาจึงไม่น่าเชื่อถือ คํ าถามที่น่าสนใจคือ พีระมิด Khufu ต้องใช้คนสร้างกี่คน
พีระมิดแห่งอียิปต์ต้องใช้คนสร้างกี่คน
คําถามนี้ตอบยากเพราะในสภาพความเป็นจริงไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าคนอียิปต์ยุคนั้นมีวิธีการใดและใช้อุปกรณ์ใดบ้างในการสร้าง
ในวารสาร Cambridge Archaeological Journal ฉบับเดือนมิถุนายน พ.ศ.2538 S.K. Wier ได้รายงานว่า จากผลการคํานวณอย่างหยาบๆ โดยการใช้วิชากลศาสตร์และประวัติศาสตร์ จํานวนคนที่ใช้ในการก่อสร้างพีระมิดมีประมาณ 10,000 คนเท่านั้นเอง Wier คิดว่าในการสร้างพีระมิด Khufu ไม่มีใครล่วงรู้ว่า กษัตริย์ Khufu จะทรงครองราชย์นานกี่ปี ดังนั้นเขาจึงคาดคะเนว่าระยะเวลาที่ใช้ในการก่อสร้างคงจะนานพอๆ กับช่วงเวลาที่พระองค์ทรงครองราชย์ ซึ่งก็นานประมาณ 23 ปี หรือ 8,400 วัน Wier ยังสมมติต่ออีกว่า หินที่ใช้ในการสร้างนั้นถูกสกัดเกลา และเคลื่อนย้าย
โดยใช้พลังคนเพียงอย่างเดียว เพราะชาวอียิปต์สมัยนั้นไม่มีปั้นจั่นหรือลูกรอกใดๆ และการสร้างได้เริ่มสร้างจากฐานสู่ยอด เมื่อเขาเอาปริมาตรของพีระมิด (2.6 ล้านลูกบาศก์เมตร) หารด้วยเวลา เขาก็พบว่าโดยเฉลี่ยแล้วกรรมกรจะต้องติดตั้งหินปริมาตร 309 ลูกบาศก์เมตรในหนึ่งวัน แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าทาสหรือกรรมกรเหล่านั้นจะทํ างานได้ในอัตรานี้ทุกวัน เพราะพีระมิดยิ่งสูง กระบวนการขนหินก็ยิ่งยาก และพื้นที่ทํ างานในบริเวณยอดจะยิ่งน้อย จึงเป็นไปได้ว่าความเร็วในการก่อสร้างจะสูงในระยะแรก แต่จะช้าในระยะหลัง
Wier ได้ประมาณต่ออีกว่า เมื่อกรรมกรแต่ละคนมีความสามารถในการทํ างานได  2.5 แสนจูลต่อวันและพลังงานที่ต้องใช้ในการสร้างพีระมิด Khufu ทั้งลูกมีค่า 2.5 ล้านจูล ดังนั้นการสร้างจึงต้องใช้คน 1,250 คน ทํางาน 8,400 วัน แต่การใช้คนจํ านวนน้อยเช่นนี้ดูๆ จะไม่เหมาะสมกับสถานภาพของกษัตริย์อียิปต์เลย เพื่อให้ได้ตัวเลขที่สมเหตุสมผล Wier ได้อาศัยข้อมูลจากภาพวาดบนผนังพีระมิดชื่อ Djihutihotep แห่งเมือง Deir-el-Bersha ซึ่งเป็นภาพของอนุสาวรีย์ขนาดสูง 5 เมตร และหนัก 50 ตัน ที่ต้องใช้คนลาก 172 คน นั่นก็หมายความว่าทาสแต่ละคนต้องออกแรงโดยเฉลี่ย 11.5 กิโลกรัมเพื่อลากหินที่หนัก 330 กิโลกรัม โดยอาศัยข้อมูลนี้ Wier จึงสรุปว่าการสร้างพีระมิด Khufu ต้องใช้คนอย่างน้อย 9,500 คน และอย่างมากไม่เกิน 12,800 คน ในระยะเริ่มต้น และเมื่อถึงระยะสุดท้ายของการสร้างจํ านวนคนที่จํ าเป็นจะต้องมีอย่างน้อย 35 คน และอย่างมากไม่เกิน 41 คน
โดยสรุป Wier มีความเห็นว่า คนหมื่นคนก็เพียงพอสํ าหรับการสร้างพีระมิด Khufu แล้วและเมื่อพิจารณาจํ านวนประชากรของอียิปต์ในขณะนั้น (1.1 – 1.5 ล้านคน) เราก็จะเห็นว่าจํ านวนคนก่อสร้างคิดเป็น 1 เปอร์เซ้นต์ของคนทั้งประเทศ เขาจึงไม่เห็นว่างานก่อสร้างพีระมิดเป็นเรื่องที่ประเทศต้องทุ่มเททรัพยากรแต่ประการใด แต่ประเด็นที่น่าประหลาดใจคือ โครงการนี้ ใช้เวลาดํ าเนินการนานถึง 23 ปี ซึ่งถือว่าวิศวกรยุคนั้นมีการวางแผนและการควบคุมทาสในการก่อสร้างได้นาน และมีประสิทธิภาพมาก

นอนไม่หลับทำให้อ้วนได้นะ

เพื่อนๆเคยมีปัญหาเรื่องนอนหลับไม่เพียงพอ หรือนอนไม่หลับกันบ้างมั้ยคะ?
หลายๆ คนอาจจะเคยสงสัยว่า ทำไมนอนน้อยแล้วน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น? ขอบอกว่า นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอนค่ะ
สาเหตุก็คือ “การอดนอน ทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญลดลงและมีความหิวเพิ่มขึ้น” การนอนไม่พอทำให้ฮอร์โมนเลปตินซึ่งทำให้เรารู้สึกอิ่มมีระดับลดลง ขณะที่ฮอร์โมนเกรลินซึ่งทำให้เรารู้สึกหิวมีระดับสูงขึ้น
การอดนอนจะมีผลต่อการเลือกกิน ทำให้เราอยากกินอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลเพิ่มขึ้น หรือพูดง่ายๆ ว่า เมื่อเรานอนพักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายจะรู้สึกอ่อนเพลีย และที่สำคัญคือ...เราจะไม่พิถีพิถันในการเลือกกิน แต่เราจะเลือกกินเฉพาะอาหารที่ทำให้เรารู้สึกสดชื่นขึ้นเท่านั้น เช่น ของหวาน ช็อกโกแลต ขนมขบเคี้ยว เป็นต้น และถ้าเราไม่สามารถหักห้ามใจจากขนมหวานได้ ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสเกิดโรคเบาหวานชนิดที่สองอีกด้วย (น่ากลัวมั้ยล่ะ)
นอกจากการนอนน้อยจะทำให้อ้วนง่ายแล้ว การนอนหลับไม่เพียงพอยังทำให้ฮอร์โมนเครียดและการอักเสบในร่างกายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ภูมิต้านทานโรคลงลง ในที่สุดก็จะทำให้เราป่วยบ่อยๆ ...
และที่สำคัญที่สุด...การนอนไม่พอ จะทำให้ร่างกายเราขาด “โกรทฮอร์โมน” ซึ่งก็คือฮอร์โมนที่ช่วยให้เราดูดีแม้จะมีอายุมากขึ้น เพราะตามปกติแล้ว เมื่อเราอายุ 20-60 ปี ร่างกายจะค่อยๆ ผลิตโกรทฮอร์โมนลดน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งนั่นก็แปรผันตรงกับหนังหน้าเราที่เหี่ยวย่นไปตามกาลเวลาค่ะ (เศร้าเนอะ) ฮอร์โมนชนิดนี้ไม่เพียงมีฤทธิ์เสริมสร้างกล้ามเนื้อ ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งเท่านั้น แต่ยังทำให้เรา...ดูเซ็กซี่อีกด้วย (อิอิ)
วิธีแก้โรคง่วงเหงาหาวนอน และอาการเพลียจากการพักผ่อนไม่เพียงพอที่ดีที่สุดคือ "นอน และนอนให้เพียงพอ" โดยการพักผ่อนที่เพียงพอก็คือ วันละ 6-8 ชั่วโมง หรือใครที่นอนดึกแล้วจะแอบงีบหลับระหว่างวันก็ได้ แต่อย่าเผลอแอบงีบในห้องเรียนนะจ๊ะ!!! โดยเวลาที่เหมาะสมในการงีบหลับก็คือ ไม่เกิน 30 นาทีต่อครั้งเท่านั้นค่ะ
ทั้งนี้ ก็ต้องหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ และหลีกเลี่ยงแสงสว่างก่อนเข้านอนด้วย และหากมีเรื่องกังวลใจจนทำให้นอนไม่หลับ ก็ให้จดบันทึกเรื่องราวเหล่านั้นไว้ก่อน แล้วบอกตัวเองว่าพรุ่งนี้ค่อยจัดการ เพียงเท่านี้ เราก็จะนอนหลับกันอย่างสบายใจแล้วค่ะ ส่วนใครที่มีวาระแห่งชาติ ติดภารกิจแชท อ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม คุยโทรศัพท์ ฯลฯ จนต้องนอนดึกละก็ อย่าลืมแบ่งเวลามาดูแลตัวเองบ้างนะคะ ^^
..