วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2551




ความเป็นมาของวันแม่
ชาวอเมริกันเป็นผู้กำหนดให้มีวันแม่อย่างเป็นทางการขึ้น และผู้ที่พยายามเรียกร้องให้มีวันแม่ในอเมริกา คือ แอนนา เอ็ม. จาร์วิส คุณครูแห่งรัฐฟิลาเดลเฟีย แต่กว่าเธอจะประสบความสำเร็จก็ครบ 2 ปีพอดีในปี ค.ศ.1914 (พ.ศ.2457) โดยประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน ได้มีคำสั่งให้ถือวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ และดอกไม้สำหรับวันแม่ของชาวอเมริกันก็คือดอกคาร์เนชั่น ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือถ้าแม่ยังมีชีวิตอยู่ให้ประดับตกแต่งบ้าน หรือประตูด้วยดอกคาร์เนชั่นสีชมพู แต่ถ้าแม่ถึงแก่กรรมไปแล้วให้ประดับด้วยดอกคาร์เนชั่นสีขาว
สำหรับในประเทศไทยนั้นมีการจัดงานวันแม่ขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2486 ณ.สวนอัมพร โดยมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้จัดงาน แต่เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 งานวันแม่ในปีต่อมาจึงต้องงดไปโดยปริยาย หลังจากผ่านพ้นวิกฤติสงครามไปแล้ว หลายหน่วยงานได้พยายามรื้อฟื้นให้มีวันแม่ขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และมีการเปลี่ยนกำหนดวันแม่ไปหลายครั้ง แต่กำหนดวันแม่ที่ประชาชนนิยม และเป็นที่รับรองของรัฐบาล คือวันที่ 15 เมษายน โดยเริ่มจัดมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2493 กำหนดงานวันแม่ในวันนี้ยังดำเนินต่อมาอีกหลายปี ก็ต้องมาหยุดชะงักลงอีก ด้วยเหตุผลที่ว่าสภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้จัดงานวันแม่ขาดผู้สนับสนุน ซึ่งก็คือกระทรวงวัฒนธรรมที่ถูกยุบไปนั่นเอง
ต่อมาสมาคมครูคาทอลิกแห่งประเทศไทย เห็นว่าควรมีการจัดงานวันแม่ต่อไป จึงได้รื้อฟื้นงานวันแม่ขึ้นมาอีก และได้กำหนดให้จัดงานวันแม่ คือวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ.2515 แต่จัดได้เพียงปีเดียวก็เลิกไป จนกระทั่งในปี พ.ศ.2519 คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์เห็นว่าควรกำหนดวันแม่ให้แน่นอนเสียที จึงได้กำหนดวันแม่ใหม ่โดยให้ถือว่าวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ และ กำหนดให้ดอกมะลิเป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ตั้งแต่นั้นมา
เหตุผลที่ให้ดอกมะลิ เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ ก็เนื่องจาก ดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์ ส่งกลิ่นหอมไปไกลและหอมได้นาน อีกทั้งยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลาย... นักภาษาศาสตร์ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า คำว่า "แม่" ของทุก ๆ ภาษา มาจากการออกเสียงของเด็ก โดยคำขึ้นต้นด้วยพยัญชนะริมฝีปากคู่ (Bilabial) ได้แก่ ม , พ , ป ,บ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นพยัญชนะชุดแรกที่เด็กสามารถทำเสียงได้ โดยการใช้ริมฝีปากบนและล่าง ดังเช่น
ภาษาไทย แม่
ภาษาจีน ม๊ะ หรือ ม่า
ภาษาฝรั่งเศส la mere (ลา แมร์)
ภาษาอังกฤษ mom , mam
ภาษาโซ่ ม๋เปะ
ภาษามุสลิม มะ
ภาษาไทใต้คง เม
เป็นต้น

11 วิธีกินอย่างฉลาด



ข้อแนะนำให้เราปฏิบัติตามวิธี 11 ข้อ ดังนี้
1.กินพออิ่มด้วยการตักอาหารกะปริมาณพอดี เช่น ข้าวสวย 1-2 ทัพพี ผัก 4-6 ช้อน กินข้าวเนื้อสัตว์ 2-3 ช้อน กินข้าว ผลไม้ 1-2 ส่วนหรือประมาณ 8-16 ชิ้นคำ และน้ำสะอาด 1-2แก้ว​
2.ไม่กินทิ้งกินขว้าง​
3.เลือกอาหารดีมีคุณค่าราคาถูก อาหารประเภทโปรตีนอาจใช้เต้าหู้หรือถั่วเมล็ดแห้งผสมรวมกับเนื้อสัตว์ เลือกกินอาหารที่มีในท้องถิ่น ผักพื้นบ้านที่หาง่าย​
4.กินผักผลไม้ไทยแทนของหวาน โดยเฉพาะผลไม้ตามฤดูกาลจะมีราคาถูกและไม่มีน้ำตาลกะทิ ทำให้อ้วน​
5.ลดการกินจุบจิบ
6.ดื่มน้ำเปล่าดีที่สุด ลดหรืองดเครื่องดื่มที่มีรสหวานต่างๆ​
7.กินอาหารไทยจะมีราคาถูกและได้รับคุณค่าทางอาหารครบถ้วน​
8.ลดการสั่งอาหารราคาพิเศษ เช่น การเพิ่มลูกชิ้น ข้าวหรือกับข้าว จะสิ้นเปลืองและทำให้อ้วน
9.งดการกินอาหารมื้อดึก
10.เคี้ยวอาหารช้าๆอย่ารีบร้อน จะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วกว่า เพราะร่างกายของคนเราจะอิ่มเมื่อกินอาหารไปประมาณ 20 นาที​
11.เลี้ยงลูกด้วยนมแม่แทนนมกระป๋อง ช่วยประหยัดและสร้างภูมิคุ้มกันทางกายและทางใจแก่เด็ก​
นอกจากนี้ เรายังต้องฉลาดในการเลือกปรุงอาหารที่มีประโยชน์ และราคาประหยัด ทั้งหมด 7 ข้อ ได้แก่
1.ปรุงอาหารกินเองที่บ้าน
2.ดัดแปลงอาหารที่เหลือเป็นอาหารจานใหม่​
3.ทำอาหารปริมาณมากกินได้หลายมื้อ
4.ใช้เครื่องปรุงรสแต่น้อยเท่าที่จำเป็น​
5.หุงข้าวผสมข้าวโพดถั่ว เผือก มัน ช่วยประหยัดข้าว​
6.ดัดแปลงเมนูอาหารเลือกใช้วัสดุที่มีความใกล้เคียงกันแต่ราคาถูกกว่า
7.อาหารบางชนิดซื้อถูกกว่าปรุงกินเอง​

ประโยชน์จากธรรมชาติ






มีเคล็ดลับสุขภาพ ด้วยการดื่มน้ำผลไม้มาฝากกันค่ะ เพราะน้ำผลไม้หลายๆ ชนิด ก็ช่วยป้องกันเราจากอาการเจ็บป่วยได้ด้วย แต่มีข้อแม้นิดนึงว่า ควรดื่มน้ำผลไม้ที่คั้นสดๆ เท่านั้น จะได้ไม่เสียคุณค่าอาหารไปค่ะ เอาล่ะ... มาดูกันซิว่ามีน้ำอะไรบ้าง?
น้ำส้ม>> อุดมไปด้วยวิตามินซี (Vitamin C) สูง และยังมีวิตามินเอ (Vitamin A) และวิตามินบี1, บี2 (Vitamin B1, B2) ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และป้องกันโรคไข้หวัด
น้ำมะนาว >> อุดมไปด้วยวิตามินซี (Vitamin C) และมีวิตามินบี2 (Vitamin B2) รวมถึงแร่ธาตุต่างๆ ช่วยป้องกันไข้หวัด และยังช่วยรักษาผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง
น้ำมะละกอ >> อุดมไปด้วยวิตามินเอ (Vitamin A) สูง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาท้องผูก อาหารไม่ย่อย เพราะในมะละกอสุกจะมีเอนไซม์ปาเปอิน (Papain Enzyme) ที่ช่วยย่อยสารอาหารประเภทโปรตีน ทั้งยังมีคุณสมบัติเป็นยาระบายอ่อนๆ ด้วย
น้ำแอปเปิ้ล >> อุดมไปด้วยวิตามินเอ (Vitamin A) และวิตามินซี (Vitamin C) เหมาะสำหรับน้องๆ ที่ต้องการดูแลเล็บเป็นพิเศษเพราะน้ำแอปเปิ้ลจะช่วยให้เล็บแข็งแรง หรือน้องๆ จะทานแอปเปิ้ลสดก็ได้เหมือนกันนะคะ
น้ำมะเขือเทศ >> อุดมไปด้วยวิตามินเอ (Vitamin A) และวิตามินซี (Vitamin C) ป้องกันความเสื่อมของเซลล์ เพราะในมะเขือเทศมีสารไลโคปีนที่ช่วยเรื่องการชะลอความแก่ นอกจากนี้ มะเขือเทศยังมีสารที่ช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งที่ต่อมลูกหมากด้วย (น้ำมะเขือเทศนี้ พี่จูนขอบายค่ะ ทานมะเขือเทศสดๆ จะดีกว่า แหะๆ)
น้ำแตงโม >> อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน และวิตามินเอ (Vitamin A) ช่วยล้างไต ขับปัสสาวะ และช่วยบำรุงรักษาผิวพรรณ
น้ำฝรั่ง>> อุดมไปด้วยวิตามินซี (Vitamin C) ช่วยป้องกันไข้หวัด สร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย และช่วยบำรุงผิวพรรณ
น้ำกล้วยหอม >> ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี และช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ นอกจากนี้ ยังช่วยในเรื่องของการควบคุมอาหารได้ดีอีกด้วย เพราะจะทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็ว (บางคนนิยมทานกล้วยหอมครึ่งผลก่อนมื้ออาหาร)