วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2551





เด็กๆ ส่วนใหญ่มักไม่ชอบกินผักและผลไม้กันใช่มั้ยคะ? ยิ่งเป็นพวกผักใบเขียวแล้ว หลายคนถึงกับเบ้หน้าเลยทีเดียว แต่ก็คงทราบกันดีว่าผักและผลไม้มีประโยชน์ต่อร่างกายเรามาก แต่หากอยากจะได้ประโยชน์แบบเต็มร้อยล่ะก็ พี่ปาล์มมีบทความดีๆ จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ มาฝาก ฟังทางนี้ค่ะ
แก้วมังกร – แก้วมังกร ผลไม้ที่มีต้นรูปร่างแปลกๆ แต่รสชาติอร่อยไม่แพ้ผลไม้ชนิดอื่น แถมด้วยคุณประโยชน์มากมาย แต่ถ้าจะให้ดีที่สุด เวลาน้องๆ กินแก้วมังกรแล้ว อย่าลืมเคี้ยวเมล็ดสีดำเล็กๆ ให้แตกนะคะ เพราะในเมล็ดของแก้วมังกรมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ รวมทั้งวิตามินอี การเคี้ยวให้แตกจะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารเหล่านี้ได้
ส้ม - ส้มเป็นผลไม้ที่มีไบโอฟลาโวนอยด์ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสูง โดยจะมีมากในเยื่อบุผิวและเนื้อเยื่อส่วนใน ดังนั้น เวลากินส้มจึงไม่ควรลอกเยื่อบุผิวขาวๆ ออก และควรกินเนื้อส้มเข้าไปด้วย ช่วยเพิ่มกากใยอาหารอีกต่างหาก (มีส่วนช่วยในการขับถ่ายด้วยนะคะ)
ฝรั่ง - หลายคนเชื่อว่าหากกินเมล็ดฝรั่งเข้าไปแล้วจะทำให้ท้องผูกและเป็นไส้ติ่งด้วย จึงมักจะทิ้งเมล็ดไป แต่ทราบมั้ยคะว่า ความจริงแล้วเมล็ดฝรั่งมีความหวานหอมและเป็นกากใยอาหารที่ดีเยี่ยม จริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นเมล็ดอะไรหรืออาหารอะไร หากสามารถเข้าไปในไส้ติ่งได้ก็ทำให้เป็นโรคไส้ติ่งอักเสบได้ทั้งสิ้น ไม่จำเป็นต้องเป็นเมล็ดฝรั่งอย่างเดียวหรอกค่ะ (พี่ปาล์มชอบกินมากเลยนะเมล็ดฝรั่งเนี่ย อร่อยนะจะบอกให้)แครอท - ผักสีส้มที่กินแล้วผิวสวยเพราะได้ชื่อว่ามีสารเบต้าแคโรทีนสูง แต่จะได้ประโยชน์มากขึ้นหากปรุงด้วยความร้อนก่อนนำมากิน ความร้อนจะช่วยทำให้ผนังเซลล์ของแครอทอ่อนตัวลงร่างกายสามารถย่อยได้ง่ายและดูดซึมสารอาหารต่างๆ ได้ดีขึ้น (สาวๆ สนใจมั้ยคะ?)

ดูโรคจากผิวหน้า

"ปัญหาของระบบหัวใจ" อาการที่ผิวหน้า >> จะมีใบหน้าที่หมองคล้ำหรือซีดขาว อาการอื่นๆ >> มีอาการใจหวิวๆ นอนไม่ค่อยหลับ บางครั้งไม่มีสมาธิชอบหลงลืม แสดงว่าเริ่มมีปัญหาเรื่องระบบของหัวใจ ควรรีบพบแพทย์เพื่อป้องกันโดยเร็ว
"ปัญหาของระบบปอด" อาการที่ผิวหน้า >> ผิวหน้าจะแห้ง มีริ้วรอย มักแพ้ง่าย และจะเป็นสิวบนใบหน้า อาการอื่นๆ >> มีอาการตัวเย็น เหงื่อจะออกเยอะ เป็นหวัดบ่อยๆ ทั้งที่ไม่ใช่หน้าฝน
"ปัญหาของตับ" อาการที่ผิวหน้า >> ผิวหน้าหยาบกร้าน บนใบหน้าจะมีสิวฝ้า ใบหน้าจะบวม ตรงบริเวณตามีถุงใต้ตา อาการอื่นๆ >> มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ บางครั้งท้องเสียง่าย มีกลิ่นปาก รู้สึกเหนื่อยล้า ทำอะไรได้ไม่นานก็จะเมื่อยง่าย รวมทั้งอาจจะปวดฟันโดยไม่ทราบสาเหตุ
"ปัญหาของม้ามหรือระบบย่อยอาหาร" อาการที่ผิวหน้า >> ใบหน้าแดงเป็นฝ้า และหน้าซีดเซียว ฝ้าบนหน้าจะเป็นๆ หายๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ ดวงตาก็ไม่ค่อยสดใส อาการอื่นๆ >> เสียงเบา ปวดประจำเดือน สุขภาพร่างกายจะไม่ค่อยแข็งแรง
"ปัญหาของระบบไต" อาการที่ผิวหน้า >> บริเวณรอบดวงตาจะมีขอบตาคล้ำ ผิวดำหมองคล้ำ หน้าจะเป็นฝ้าดูแล้วเหมือนคนแก่ก่อนวัย อาการอื่นๆ >> ปวดปัสสาวะบ่อย นอนไม่ค่อยหลับ ปวดหลัง บางครั้งมีเสียงดังในหู ผมร่วง

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2551

7สิ่งที่ไม่ควรทำหลังทานอาหาร

7 สิ่งที่ไม่ควรทำหลังการทานอาหารจากการค้นคว้าจากผู้วชาญ ได้พบว่าหลังจากทานอาหารนั้น มีกิจกรรม 7 อย่างที่เราไม่ควรทำอย่างยิ่ง เนื่องจากจะส่งผลโดยตรงต่อร่างกายค่ะ
1. อย่าสูบบุหรี่ !!จากผลการทดลองของผู้วชาญพบว่า การสูบบุหรี่หลังอาหาร เทียบได้กับการสูบบุหรี่ยามปกติถึง 10 มวน(ทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้น ซึ่งสูบปกติก็มีโอกาสเป็นอยู่แล้ว)
2. อย่ากินผลไม้ทันทีหลังอาหาร !!เพราะมันไปพองในท้องคุณ ให้กินผลไม้ 1 หรือ 2 ชม. ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้จะดีกว่า
3. อย่าดื่มน้ำชา !!เพราะว่าใบชามีความเป็นกรดสูง ทำให้โปรตีนในอาหารที่เรากินกระด้างขึ้นทำให้ย่อยยาก
4. อย่าขยายเข็มขัดหลังกินอิ่ม !!เพราะเป็นเหตุให้ลำไส้ไม่ปกติ
5. อย่าอาบน้ำหลังกินข้าว !!เพราะการอาบน้ำ จะทำให้โลหิตไหลเวียนไปที่มือ และเท้าทั่วร่างกายเป็นเหตุให้ปริมาณโลหิตไหลเวียนบริเวณท้องก็เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่
6. อย่าเดินหลังอาหาร !!แม้คุณจะเคยได้ยินว่า กินข้าวแล้วให้เดินสัก 100 ก้าวจะทำให้อายุยืนถึง 99 ปี !?! การเดินทันทีทำให้การย่อยเพื่อดูดซึมสารอาหารทำได้ไม่ดี ควรรออย่างน้อยสักชั่วโมงค่อยเดินถ้าต้องการ
7. อย่านอนทันที !!อาหารที่รับประทานเข้าไปไม่สามารถย่อยได้เต็มที่ อาจทำให้เกิดลมหรือแก๊สในทางเดินอาหาร

คนถนัดซ้ายและโอกาส

คนถนัดซ้ายและโอกาส
ส่วนของคนถนัดซ้ายในประชากรกำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าสนใจในประเทศพัฒนาแล้วตามที่มีการสำรวจ และเชื่อว่าปรากฏการณ์นี้กำลังเกิดขึ้นเช่นกันในประเทศอื่นๆ สาเหตุของการเพิ่มสูงขึ้นนี้โยงใยอย่างน่าสนใจกับประเด็นการเลี้ยงดูลูกหลานและการที่สังคมสนับสนุนให้เยาวชนปลดปล่อยศักยภาพในยุคปัจจุบันมีหลักฐานทางโบราณคดีว่ามนุษย์ถนัดทั้งซ้ายและขวามายาวนาน นับตั้งแต่เมื่อมนุษย์ลุกขึ้นยืนบนสองขาเป็นมนุษย์เช่นผู้คนในปัจจุบันเมื่อประมาณ 150,000 ปีก่อน มนุษย์ส่วนใหญ่ถนัดขวามากกว่าถนัดซ้าย จนการถนัดซ้ายถือว่าเป็นสิ่งผิดปกติที่เลวร้ายคำว่า sinister ในภาษาละตินแปลว่า "ซ้าย" และกลายเป็นคำในภาษาอังกฤษปัจจุบันซึ่งหมายถึง "โชคร้าย" หรือ "ชั่วร้าย" ในขณะที่คำว่า "ขวา" ในหลายประเทศของยุโรปหมายความถึง "ถูกต้อง" (right ในภาษาอังกฤษ) "ความยุติธรรม" "อำนาจตามกฎหมาย" (recht ในภาษาเยอรมันและดัชต์ และ droit ในภาษาฝรั่งเศส) สำหรับจีนโบราณด้านซ้ายคือด้านไม่ดี คำว่า "ซ้าย" ในภาษาจีนกลางหมายถึง "ไม่เหมาะสม" "ไม่ถูกต้อง" ทั้งหมดนี้มีนัยยะของความเอนเอียงไปทาง "ขวา" เนื่องจากคนส่วนใหญ่ถนัดขวาการที่บุคคลหนึ่งจะถนัดขวา (จริงๆ คือถนัดมือขวา) หรือถนัดซ้ายนั้น นักวิชาการปัจจุบันเชื่อว่าเลือกไม่ได้เพราะมันมาจากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมในครรภ์ ในปี 2007 มีการพบว่ายีนส์ที่ตั้งชื่อว่า LRRTM 1 เกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นของโอกาสในการถนัดซ้าย นอกจากนี้ยังพบว่าการจะถนัดมือไหนเริ่มพัฒนาตั้งแต่อยู่ในครรภ์โดยสังเกตเห็นได้จากการวางมือใดไว้ใกล้ปากมากที่สุด มือนั้นก็จะเป็นด้านที่ถนัดในเวลาต่อมา ปัจจัยสำคัญอีกตัวหนึ่งก็คือ ปริมาณของฮอร์โมนเพศชาย (testosterone) ในครรภ์ที่ทารกเติบโตอยู่ทฤษฎีของ Norman Geschwind ระบุว่า ฮอร์โมนเพศชายจะไปกดการเจริญเติบโตด้านซ้ายของ cerebral hemisphere (บริเวณสมองซีกซ้าย) จนเซลล์สมองหรือ neurons ย้ายไปเติบโตในซีกขวาแทน ดังนั้น ทารกในครรภ์จึงมีทางโน้มที่จะถนัดซ้ายเพราะสมองซีกขวาควบคุมการทำงานซีกซ้ายของร่างกายสถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับการถนัดซ้ายก็คือ ประชากรอังกฤษในทศวรรษ 1970 มีหญิงชายอายุ 15-24 ปี อยู่ร้อยละ 11 ที่ถนัดซ้าย ซึ่งตัวเลขเดียวกันในอายุ 55-64 ปี หรือเกิดก่อนหน้าเด็กกลุ่มแรกประมาณ 40 ปี มีเพียงร้อยละ 3 ในสหรัฐอเมริกาก็พบคล้ายกันกล่าวคือ ส่วนของคนเกิดในทศวรรษ 1960 ถนัดซ้ายมากกว่าสองเท่าของคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปในสหรัฐอเมริกาเดิมเชื่อกันว่า คนถนัดซ้ายมีส่วนในประชากรเพียงประมาณ ร้อยละ 10 แต่เมื่อพิจารณาข้อมูลของประชากรอเมริกันที่ถนัดซ้าย โดยจำแนกตามปีเกิดแล้วก็จะพบว่ามีส่วนสูงขึ้นเรื่อยๆ เช่น เกิด ค.ศ.1943-1952 มีส่วนถนัดซ้ายร้อยละ 12 เกิด ค.ศ.1953-1962 ร้อยละ 13 และเกิด ค.ศ.1963-1972 ร้อยละ 15.8 (สถิติเหล่านี้มาจากการถามว่าถนัดมือข้างใดหลังจากเติบโตเป็นเยาวชนแล้ว) ในประเทศอื่นก็เชื่อว่ามีส่วนของคนถนัดซ้ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน แต่มิได้เกิดถนัดซ้ายเพิ่มขึ้นมากเพราะสาเหตุจากฮอร์โมนเพศชาย แต่เชื่อว่ามาจากการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมการเลี้ยงดูและให้โอกาสเด็กพัฒนามากกว่าอย่างอื่นChris McManus ผู้เขียนหนังสือ Right-Hand, Left-Hand ได้เสนอสาเหตุหลายประการที่ทำให้คนถนัดซ้ายมีส่วนเพิ่มขึ้นดังต่อไปนี้ (1) คนถนัดซ้ายถูกกดขี่ในศตวรรษที่ 18 และ 19 อย่างหนัก เช่น พ่อ แม่ และครูจะพยายามบีบบังคับดัดมือให้ถนัดขวา (การเขียนจากซ้ายไปขวาทำให้คนถนัดซ้ายมีความไม่สะดวก ต้องจับปากกาและวางมือไว้ข้างบนตัวอักษร) ดังนั้น คนที่ดำรงความถนัดซ้ายแต่เกิดไว้ได้จึงมีส่วนต่ำ แต่ในยุคใหม่การบีบบังคับเช่นนี้มีน้อยลง (2) เมื่อโตขึ้นคนถนัดซ้ายถูกสังคมมองว่าเป็นคนประหลาดโดยเฉพาะในสมัยก่อน คนถนัดซ้ายจึงมีโอกาสแต่งงานน้อยกว่า ดังนั้น โอกาสในการผลิตคนที่ถนัดซ้ายตามกรรมพันธุ์จึงมีน้อยลง (3) ในยุคเสรีตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมาคนถนัดซ้ายได้รับการยอมรับมากขึ้น เนื่องจากสังคมยอมรับการเป็นปัจเจกบุคคลอย่างกว้างขวางขึ้น ดังนั้น แรงกดดันให้เปลี่ยนเป็นถนัดขวาจึงมีน้อยลง (4) หญิงมีลูกตอนอายุสูงขึ้นทำให้ช่วยเพิ่มส่วนของคนถนัดซ้ายเพราะสถิติชี้ว่า หากหญิงมีลูกตอนอายุมากขึ้นก็มีทางโน้มที่จะมีลูกถนัดซ้ายมากขึ้นโดยส่วนตัวเชื่อว่าการยอมรับการถนัดซ้ายโดยพ่อแม่ ครู และสังคมในยุคเสรีเปิดโอกาสให้เด็กบรรลุศักยภาพของตนเองคือ สาเหตุสำคัญที่ทำให้เยาวชนดำรงความถนัดซ้ายตั้งแต่เกิดจนเป็นผู้ใหญ่ไว้ได้ การกีดขวางพัฒนาการของเด็กโดยเริ่มที่การพยายามเปลี่ยนการถนัดซ้ายมาเป็นขวามีน้อยลงChris McManus ชี้ว่าเมื่อพิจารณาประวัติศาสตร์จะพบว่าคนถนัดซ้ายมีส่วนของคนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง สูงกว่าคนถนัดขวาเนื่องจากสมองของคนถนัดซ้ายถูกสร้างให้แตกต่างกว่า โดยขยายขอบเขตของความสามารถโดยเฉพาะในด้านภาษาและศิลปะ เขาเชื่อว่าปรากฏการณ์เพิ่มขึ้นของส่วนคนถนัดซ้ายจะเป็นผลดีแก่โลกในอนาคตคนสำคัญในโลกที่ถนัดซ้าย ได้แก่ Alexander the Great/ Julius Caesar/ Napoleon Bonaparte/ รวมทั้ง Colin Powell และ Norman SchwarzkopfLeonardo da Vinci/ Michelangelo/ Pablo Picasso/ Ludwig van Beethoven/ Paul McCartney/ Ringo Starr ถนัดซ้ายเช่นเดียวกับนักกีฬาเทนนิส เช่น Rod Laver/ Jimmy Connors/ John McEnroe/ Martina Navratilova นักการเมืองถนัดซ้าย ได้แก่ Gerald Ford ประธานาธิบดีบุช (ผู้พ่อ) Bill Clinton/ Ross Perot (ทั้ง 3 คนหลังเป็นผู้สมัครประธานาธิบดีในปี 1992 เหมือนกัน)ราชวงศ์อังกฤษ เช่น Queen Elizabeth II (พระราชินีองค์ปัจจุบัน) เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ และเจ้าชายวิลเลียม รวมทั้ง Queen Mother (พระราชมารดาพระราชินีองค์ปัจจุบัน) ก็ล้วนถนัดซ้ายคนถนัดซ้ายที่มักเรียกกันในภาษาอังกฤษว่า southpaw (บ้างก็ว่าคำนี้มีที่มาจากกีฬา baseball บ้างก็ว่าอยู่ในพจนานุกรมอังกฤษก่อนกีฬาเบสบอลเกิดอีก) นั้นมีชีวิตที่ลำบากพอควรไม่ว่าการหาเก้าอี้ที่เป็นแผ่นรองเขียนถนัดมือ หาอุปกรณ์กีฬาสำหรับคนมือซ้าย เช่น ไม้กอล์ฟ เล่นกีฬาฮอคกี้ไม่ได้ (กติกาบังคับห้ามถือไม้ในมือซ้าย) ปืนสั้นบางรุ่นที่สร้างมาสำหรับคนถนัดขวา ฯลฯ ในช่วงเวลานี้ที่กีฬากำลังฮิต นักชกมวย southpaw ถือว่าได้เปรียบเพราะนักชกถนัดขวามักคาดเดากำปั้นที่ลอยมายากขึ้น หากเล่นโปโลน้ำโดยคนเล่นมักถนัดบุกทางปีกขวา คนถนัดซ้ายก็ได้เปรียบเพราะยิงประตูถนัดกว่าด้วยมือซ้าย ในเทนนิสคนที่ถนัดขวาแต่เคยชินกับการเล่นกับคนถนัดซ้ายก็ได้เปรียบมาก เช่น Rafael Nadal นักเทนนิสสุดดังในขณะนี้งานวิจัยของ Johns Hopkins University ในปี 2006 พบว่าชายที่เรียนจบมหาวิทยาลัยที่ถนัดซ้ายโดยเฉลี่ยมีรายได้สูงกว่าคนถนัดขวาร้อยละ 25 (หากเรียนไม่จบ คนถนัดซ้ายก็ยังสูงกว่าร้อยละ 15 อยู่ดี) ดังนั้น ถึงแม้จะถูก "กดขี่" ในสมัยก่อน แต่ในยุคเสรีคนถนัดซ้ายมีโอกาสแสดงออกซึ่งศักยภาพอย่างเต็มที่เพียงการปลดปล่อยให้เด็กถนัดซ้ายได้มีการพัฒนาอย่างเสรีดังเช่นในปัจจุบันยังเกิดผลดีเช่นนี้ ถ้าพ่อแม่ยอมให้ลูกได้มีโอกาสพัฒนาตนเองตามที่เขาชอบและถนัดแล้ว ลองจินตนาการดูว่าจะเกิดผลดีแก่เขามากมายเพียงใดที่มา หนังสือพิมพ์มติชน

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2551




ความเป็นมาของวันแม่
ชาวอเมริกันเป็นผู้กำหนดให้มีวันแม่อย่างเป็นทางการขึ้น และผู้ที่พยายามเรียกร้องให้มีวันแม่ในอเมริกา คือ แอนนา เอ็ม. จาร์วิส คุณครูแห่งรัฐฟิลาเดลเฟีย แต่กว่าเธอจะประสบความสำเร็จก็ครบ 2 ปีพอดีในปี ค.ศ.1914 (พ.ศ.2457) โดยประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน ได้มีคำสั่งให้ถือวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ และดอกไม้สำหรับวันแม่ของชาวอเมริกันก็คือดอกคาร์เนชั่น ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือถ้าแม่ยังมีชีวิตอยู่ให้ประดับตกแต่งบ้าน หรือประตูด้วยดอกคาร์เนชั่นสีชมพู แต่ถ้าแม่ถึงแก่กรรมไปแล้วให้ประดับด้วยดอกคาร์เนชั่นสีขาว
สำหรับในประเทศไทยนั้นมีการจัดงานวันแม่ขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2486 ณ.สวนอัมพร โดยมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้จัดงาน แต่เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 งานวันแม่ในปีต่อมาจึงต้องงดไปโดยปริยาย หลังจากผ่านพ้นวิกฤติสงครามไปแล้ว หลายหน่วยงานได้พยายามรื้อฟื้นให้มีวันแม่ขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และมีการเปลี่ยนกำหนดวันแม่ไปหลายครั้ง แต่กำหนดวันแม่ที่ประชาชนนิยม และเป็นที่รับรองของรัฐบาล คือวันที่ 15 เมษายน โดยเริ่มจัดมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2493 กำหนดงานวันแม่ในวันนี้ยังดำเนินต่อมาอีกหลายปี ก็ต้องมาหยุดชะงักลงอีก ด้วยเหตุผลที่ว่าสภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้จัดงานวันแม่ขาดผู้สนับสนุน ซึ่งก็คือกระทรวงวัฒนธรรมที่ถูกยุบไปนั่นเอง
ต่อมาสมาคมครูคาทอลิกแห่งประเทศไทย เห็นว่าควรมีการจัดงานวันแม่ต่อไป จึงได้รื้อฟื้นงานวันแม่ขึ้นมาอีก และได้กำหนดให้จัดงานวันแม่ คือวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ.2515 แต่จัดได้เพียงปีเดียวก็เลิกไป จนกระทั่งในปี พ.ศ.2519 คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์เห็นว่าควรกำหนดวันแม่ให้แน่นอนเสียที จึงได้กำหนดวันแม่ใหม ่โดยให้ถือว่าวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ และ กำหนดให้ดอกมะลิเป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ตั้งแต่นั้นมา
เหตุผลที่ให้ดอกมะลิ เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ ก็เนื่องจาก ดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์ ส่งกลิ่นหอมไปไกลและหอมได้นาน อีกทั้งยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลาย... นักภาษาศาสตร์ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า คำว่า "แม่" ของทุก ๆ ภาษา มาจากการออกเสียงของเด็ก โดยคำขึ้นต้นด้วยพยัญชนะริมฝีปากคู่ (Bilabial) ได้แก่ ม , พ , ป ,บ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นพยัญชนะชุดแรกที่เด็กสามารถทำเสียงได้ โดยการใช้ริมฝีปากบนและล่าง ดังเช่น
ภาษาไทย แม่
ภาษาจีน ม๊ะ หรือ ม่า
ภาษาฝรั่งเศส la mere (ลา แมร์)
ภาษาอังกฤษ mom , mam
ภาษาโซ่ ม๋เปะ
ภาษามุสลิม มะ
ภาษาไทใต้คง เม
เป็นต้น

11 วิธีกินอย่างฉลาด



ข้อแนะนำให้เราปฏิบัติตามวิธี 11 ข้อ ดังนี้
1.กินพออิ่มด้วยการตักอาหารกะปริมาณพอดี เช่น ข้าวสวย 1-2 ทัพพี ผัก 4-6 ช้อน กินข้าวเนื้อสัตว์ 2-3 ช้อน กินข้าว ผลไม้ 1-2 ส่วนหรือประมาณ 8-16 ชิ้นคำ และน้ำสะอาด 1-2แก้ว​
2.ไม่กินทิ้งกินขว้าง​
3.เลือกอาหารดีมีคุณค่าราคาถูก อาหารประเภทโปรตีนอาจใช้เต้าหู้หรือถั่วเมล็ดแห้งผสมรวมกับเนื้อสัตว์ เลือกกินอาหารที่มีในท้องถิ่น ผักพื้นบ้านที่หาง่าย​
4.กินผักผลไม้ไทยแทนของหวาน โดยเฉพาะผลไม้ตามฤดูกาลจะมีราคาถูกและไม่มีน้ำตาลกะทิ ทำให้อ้วน​
5.ลดการกินจุบจิบ
6.ดื่มน้ำเปล่าดีที่สุด ลดหรืองดเครื่องดื่มที่มีรสหวานต่างๆ​
7.กินอาหารไทยจะมีราคาถูกและได้รับคุณค่าทางอาหารครบถ้วน​
8.ลดการสั่งอาหารราคาพิเศษ เช่น การเพิ่มลูกชิ้น ข้าวหรือกับข้าว จะสิ้นเปลืองและทำให้อ้วน
9.งดการกินอาหารมื้อดึก
10.เคี้ยวอาหารช้าๆอย่ารีบร้อน จะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วกว่า เพราะร่างกายของคนเราจะอิ่มเมื่อกินอาหารไปประมาณ 20 นาที​
11.เลี้ยงลูกด้วยนมแม่แทนนมกระป๋อง ช่วยประหยัดและสร้างภูมิคุ้มกันทางกายและทางใจแก่เด็ก​
นอกจากนี้ เรายังต้องฉลาดในการเลือกปรุงอาหารที่มีประโยชน์ และราคาประหยัด ทั้งหมด 7 ข้อ ได้แก่
1.ปรุงอาหารกินเองที่บ้าน
2.ดัดแปลงอาหารที่เหลือเป็นอาหารจานใหม่​
3.ทำอาหารปริมาณมากกินได้หลายมื้อ
4.ใช้เครื่องปรุงรสแต่น้อยเท่าที่จำเป็น​
5.หุงข้าวผสมข้าวโพดถั่ว เผือก มัน ช่วยประหยัดข้าว​
6.ดัดแปลงเมนูอาหารเลือกใช้วัสดุที่มีความใกล้เคียงกันแต่ราคาถูกกว่า
7.อาหารบางชนิดซื้อถูกกว่าปรุงกินเอง​

ประโยชน์จากธรรมชาติ






มีเคล็ดลับสุขภาพ ด้วยการดื่มน้ำผลไม้มาฝากกันค่ะ เพราะน้ำผลไม้หลายๆ ชนิด ก็ช่วยป้องกันเราจากอาการเจ็บป่วยได้ด้วย แต่มีข้อแม้นิดนึงว่า ควรดื่มน้ำผลไม้ที่คั้นสดๆ เท่านั้น จะได้ไม่เสียคุณค่าอาหารไปค่ะ เอาล่ะ... มาดูกันซิว่ามีน้ำอะไรบ้าง?
น้ำส้ม>> อุดมไปด้วยวิตามินซี (Vitamin C) สูง และยังมีวิตามินเอ (Vitamin A) และวิตามินบี1, บี2 (Vitamin B1, B2) ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และป้องกันโรคไข้หวัด
น้ำมะนาว >> อุดมไปด้วยวิตามินซี (Vitamin C) และมีวิตามินบี2 (Vitamin B2) รวมถึงแร่ธาตุต่างๆ ช่วยป้องกันไข้หวัด และยังช่วยรักษาผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง
น้ำมะละกอ >> อุดมไปด้วยวิตามินเอ (Vitamin A) สูง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาท้องผูก อาหารไม่ย่อย เพราะในมะละกอสุกจะมีเอนไซม์ปาเปอิน (Papain Enzyme) ที่ช่วยย่อยสารอาหารประเภทโปรตีน ทั้งยังมีคุณสมบัติเป็นยาระบายอ่อนๆ ด้วย
น้ำแอปเปิ้ล >> อุดมไปด้วยวิตามินเอ (Vitamin A) และวิตามินซี (Vitamin C) เหมาะสำหรับน้องๆ ที่ต้องการดูแลเล็บเป็นพิเศษเพราะน้ำแอปเปิ้ลจะช่วยให้เล็บแข็งแรง หรือน้องๆ จะทานแอปเปิ้ลสดก็ได้เหมือนกันนะคะ
น้ำมะเขือเทศ >> อุดมไปด้วยวิตามินเอ (Vitamin A) และวิตามินซี (Vitamin C) ป้องกันความเสื่อมของเซลล์ เพราะในมะเขือเทศมีสารไลโคปีนที่ช่วยเรื่องการชะลอความแก่ นอกจากนี้ มะเขือเทศยังมีสารที่ช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งที่ต่อมลูกหมากด้วย (น้ำมะเขือเทศนี้ พี่จูนขอบายค่ะ ทานมะเขือเทศสดๆ จะดีกว่า แหะๆ)
น้ำแตงโม >> อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน และวิตามินเอ (Vitamin A) ช่วยล้างไต ขับปัสสาวะ และช่วยบำรุงรักษาผิวพรรณ
น้ำฝรั่ง>> อุดมไปด้วยวิตามินซี (Vitamin C) ช่วยป้องกันไข้หวัด สร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย และช่วยบำรุงผิวพรรณ
น้ำกล้วยหอม >> ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี และช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ นอกจากนี้ ยังช่วยในเรื่องของการควบคุมอาหารได้ดีอีกด้วย เพราะจะทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็ว (บางคนนิยมทานกล้วยหอมครึ่งผลก่อนมื้ออาหาร)

วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2551

10เรื่องลี้ลับในอวกาศ

10 เรืองลี้ลับในอวกาศ
เรื่องน่าขันเกี่ยวกับการค้นพบ คือว่ามันมักมีความลี้ลับใหม่ๆ ตามมาด้วย ปีนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น เมื่อการพบในวิทยาศาสตร์อวกาศที่เด่นมากมาย สร้างปัญหาให้นักดาราศาสตร์ที่มองหาความหมาย ต่อไปนี้เป็น 10 เรื่องลี้ลับที่นักดาราศาสตร์กำลังครุ่นคิดใน พ.ศ.2546
1)พลังงานมืด ไม่มีใครทราบว่ามันเป็นอะไรกันแน่ แต่มันเป็นการผลักดัน ขณะที่แรงโน้มถ่วงยึดสิ่งต่างๆ เข้าหากันในแต่ละแห่ง(ภายในดาราจักรและระหว่างดาราจักรในกระจุกดาราจักร) มีแรงที่ไม่รู้จักกำลังทำงานอยู่เบื้องหลังและทั่วเอกภพ เพื่อดึงให้ทุกสิ่งออกห่างจากกัน เพิ่งสังเกตกันได้ไม่นานมานี้ว่าเอกภพกำลังขยายตัวด้วยอัตราเร็วเพิ่มขึ้นเมื่อไม่พบร่องรอยว่ามันคืออะไร
ก็เรียกมันว่าพลังงานมืด ปีที่ผ่านมาพิสูจน์ได้ว่าพลังงานมืดกำลังทำงานอยู่ การคำนวณได้ทำให้ดีขึ้น แรงผลักมีอิทธิพลต่อเอกภพ มี 65% มวลมืดหรือมวลสารมืด(dark matter) ที่แปลกและไม่สามารถเห็นได้มี 30% ของเอกภพ ทำให้เอกภพมีแค่ 5% ของมวลและพลังงานตามปกติ การขยายตัวด้วยความเร่งให้แนวคิดว่า ดาราจักรทั้งหมดจะมีชะตากรรมแบบไม่มีที่สิ้นสุด หาจุดจบไม่ได้
2)น้ำบนดาวอังคาร ดาวอังคารยังปกปิดความลี้ลับไว้ได้ ไม่เปิดเผยกันง่ายๆ มีสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารหรือไม่? ใครจะตอบได้ถูก ในเมื่อนี่ยังเป็นคำถามของนาซ่าและนักวิทยาศาสตร์ดาวอังคาร แต่ก่อนตอบคำถามนี้มีปัญหาเกี่ยวกับน้ำเหลวที่ชีวิตต้องการ
ทั้งๆ ที่มีการค้นพบสำคัญเกี่ยวกับน้ำแข็ง ในพ.ศ.2545 แต่ก็ไม่มีใครนึกภาพออกว่ามันอยู่ในสภาวะเหลวได้อย่างไร มีร่องรอยเมื่อเดือนธันวาคมเป็นริ้วรอยมืดบนผิวเป็นเกลือ และน้ำไหล แต่บรรดาผู้วชาญทั้งหลายไม่มั่นใจหรอก ตอนนี้ยานอวกาศโอเดเซย์(Odyssey ของนาซ่า) กำลังโคจรรอบดาวอังคาร จะตามล่าหลักฐานมาให้
3)ใจกลางทางช้างเผือก บางสิ่งบางอย่างกำลังถูกกลืนที่หลุมดำใจกลางดาราจักรทางช้างเผือก การเฝ้าดูดวงดาวโคจรรอบหลุมดำของทางช้างเผือก ดำเนินไปแม้เป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นหลุมดำที่นั่น บริเวณรอบหลุมดำมีความกัมมันต์หรือความปั่นป่วนรุนแรง จากหอสังเกตการณ์จันทรา ที่แสดงแล้วเมื่อต้นพ.ศ.2545 แต่หลุมดำก็ไม่ได้สวาปามมวลมากพอจนคายรังสีเอกซ์พลังงานสูงอย่างที่เห็นในหลุมดำมวลมาก
พฤติกรรมของหลุมดำแสดงความแตกต่างมากมายจนนักวิทยาศาสตร์ยังไม่เข้าใจการศึกษาเมื่อเดือนมกราคม 2545 บอกว่าหลุมดำ 2 หลุม รวมกันอาจทำตัวเหมือนเป็นสวิทช์ปิดเปิดของความเป็นกัมมันต์ มีประกาศการสังเกตการณ์เมื่อเดือนพฤศจิกายนแสดงหลุมดำ 2 หลุมกำลังรวมกัน จะต้องอธิบายความแตกต่างระหว่างหลุมดำแบบธรรมดาของเราและหลุมใหญ่ที่สว่างไสวรอบดาราจักรไกลๆ
4)กำเนิดของชีวิต มีข้อมูลเพียงเล็กน้อยที่จะทำงานด้วยได้ โลกไม่ได้มีการบันทึกว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อหลายพันล้านปีที่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ขาดแคลนความคิดกว้างไกล ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์เห็นกันว่าชีวิตสามารถอยู่รอดได้ด้วยการเดินทางจากดาวอังคารมายังโลก มันอยู่ในชิ้นส่วนที่หลุดจากดาวอังคารหลังถูกดาวเคราะห์น้อยชนเข้าให้
เมื่อพฤศจิกายนนี้พบว่าหินจากดาวอังคารมายังโลกราวเดือนละก้อน มีแมลงเล็กๆ ภายในฝุ่นของดาวหาง รายงานที่ได้รับการสนับสนุนเมื่อเดือนธันวาคมพบว่า มีสัตว์เล็กๆ จากอวกาศเข้ามาในบรรยากาศโลก นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นว่าชีวิตบนโลกอาจอยู่ในซุปร้อนของสารชีวะเคมี ส่วนที่เป็นน้ำและสารอินทรีย์อาจมาจากอวกาศ โลกคงไม่ต่างจากเครื่องฟักไข่หรือเครื่องเพาะเชื้อ ชีวิตที่นี่อาจเริ่มต้นในที่ไกลแห่งใดแห่งหนึ่ง อาจเคยอยู่บนดาวอังคารหรืออยู่รอบๆ ดาวดวงอื่นมาก่อน
5)ความลับของดวงจันทร์ ไม่มีวัตถุท้องฟ้าในที่ใดที่จะศึกษาได้ดีกว่าดวงจันทร์ เราไปที่นั่น เลือกเฟ้น และนำหินกลับบ้าน แต่ดวงจันทร์ก็ยังคงเก็บความลี้ลับไว้มากมาย ที่ดูแปลกกว่าเก่า คือเรื่องหินบนดวงจันทร์ที่เคยเป็นของโลกมาก่อน มันหลุดออกจากโลกไปได้เมื่อหลายพันล้านปี เมื่อดาวเคราะห์น้อยชนโลกเข้าให้ ที่ๆ เก็บข้อมูลของโลกอยู่บนดวงจันทร์ ?!
ความพยายามเพื่อหาปริมาณ เมื่อเดือนกรกฎาคมพบ มวล 11,000 ปอนด์ จากโลกอยู่ห่างกันไม่กี่นิ้วตามพื้นผิวทุกตารางไมล์บนผิวดวงจันทร์ หินโลกบนดวงจันทร์น่าจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับองค์ประกอบของโลกได้ตอนโลกอายุยังน้อย บรรยากาศโลกและอาจเป็นกำเนิดของชีวิตด้วย ที่จะได้ข้อมูลนี้หาไม่ได้จากที่อื่นใดอีกนอกจากดวงจันทร์ เพราะโลกไม่เหมือนดวงจันทร์ ดวงจันทร์เงียบสงบไม่มีการเคลื่อนไหวภายใน
แต่โลกนำมวลจากภายในขึ้นมาที่ผิวใหม่ มีการพับหินดินที่เปลือกโลกเข้าไปข้างในและหลอมละลายเกินกว่าจะรับรู้ได้ ไม่มีใครแน่ใจว่าควรให้มวลของโลกอยู่ที่ดวงจันทร์นั่นต่อไป หรือควรเอามันกลับคืนมา การวิจัยครั้งใหม่นี้จะบังคับให้มนุษย์กลับไปยังดวงจันทร์ครั้งใหม่ จอห์น อาร์มสตรอง จากมหาวิทยาลัยวอชิงตันบอกว่า นี่จะเป็นวิธีเร็วและถูกที่สุดที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับกำเนิดดาวเคราะห์และการเกิดระบบสุริยะทั้งหมด
6)เราโดดเดี่ยวหรือไม่ เราค้นพบดาวเคราะห์ของระบบดาวอื่นที่ใหญ่กว่าดาวพฤหัสบดี และดาวเคราะห์ทั้งหลายโคจรใกล้ดาวของมันมากกว่าของระบบสุริยะของเรา ซึ่งเห็นว่าแปลก เราชักสงสัยว่าระบบสุริยะของเรามาตรฐานจริงหรือ? อย่างไรก็ตาม เมื่อมิถุนายนพบดาวเคราะห์ขนาดเท่าดาวพฤหัสบดีในวงโคจรรอบดาวอื่น
ตอนนี้มีความพยายามที่จะค้นหาดาวเคราะห์ขนาดเล็กกว่านั้น การศึกษาพ.ศ.2545 คาดว่ามีดาวเคราะห์เล็กๆ หลายพันล้านดวงโคจรรอบดาวทั้งหลาย สงสัยกันว่าจะมีดาวเคราะห์หินในวงโคจรคล้ายโลกของไหม? ความลี้ลับนี้คงพิสูจน์กันไม่ได้จนกว่าจะมียุคใหม่ของกล้องโทรทรรศน์อวกาศขึ้นโคจร การศึกษาพ.ศ. 2545 พบว่ามีโอกาสของสิ่งมีชีวิตนอกโลกบนดาวเคราะห์คล้ายโลก และ 1 ใน 3 นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่กำลังพูดถึงอีที ก็จะตื่นเต้นกันมากที่มีโอกาสจะพบจุลชีพ
7)ดวงอาทิตย์ปริศนา ถ้าอยากค้นหาอาชีพที่อนาคตสดใส น่าจะเลือกเป็นนักฟิสิกส์ดวงอาทิตย์ น่าประหลาดที่เรายังไม่เข้าใจไดนามิกส์ของดาวที่เราโคจรรอบ ตอนนี้ ภาพใหม่ของดวงอาทิตย์ใน พ.ศ.2545 มีรายละเอียดมากที่สุด เปิดเผยโครงสร้างที่คล้ายคลองจากบริเวณสว่างไปยังใจกลางจุดมืดของดวงอาทิตย์ โครงสร้างแปลกนี้ได้รับเชื้อเพลิงจากความร้อนมหาศาลและพลังงานสนามแม่เหล็ก แต่ถ้าจะไปให้ไกลกว่านั้น เช่นการกำเนิดยังเป็นความลี้ลับอยู่ ปรากฏการณ์พลศาสตร์และโครงสร้างบนดวงอาทิตย์ทั่วไปยังไม่เข้าใจ แม้สังเกตการณ์กันมานานมากแล้วก็ตาม
8)อายุของเอกภพ นักวิทยาศาสตร์เห็นด้วยกับวิธีการทั่วไป ว่าเอกภพเริ่มแรกวิวัฒนาการแบบใด แต่เขาเริ่มโต้เถียงกันเมื่อเห็นหัวข้อของอายุเอกภพ อายุของเอกภพราว 12-15 พันล้านปี แต่มีการทบทวนหรือการทำให้ละเอียดยิ่งขึ้นที่ประกาศเป็นระยะๆ ช่วงห่างกันไม่กี่เดือน
กล้องโทรทรรศน์ฮับเบิลให้อายุเอกภพเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2545 มีค่า 13-14 พันล้านปี เราบอกไม่ได้ว่าคำตอบสุดท้ายจะมีได้เมื่อไร แต่ก็หวังจะได้ใน พ.ศ. 2546 คำถามที่อยากให้ตอบมีว่า อะไรเกิดขึ้นตอนเริ่มต้นเอกภพ? อะไรเกิดก่อนขณะนั้น? นี่เป็นคำถามที่นักเอกภพศาสตร์จะโต้แย้งกันตลอดไป เพราะไม่มีการสังเกตการณ์ได้โดยตรง และไม่มีการพิสูจน์ใดๆ
9)ดาวเคราะห์หายไป 2 ดวง มีภาพน่าประหลาดใจเมื่อนักวิทยาศาสตร์เก่งสร้างภาพจำลองคอมพิวเตอร์ครั้งล่าสุด ใส่ทฤษฎีเก่าแก่ที่ยอมรับกันมาหลายทศวรรษ ที่บอกว่าระบบสุริยะของเราเกิดได้อย่างไร แต่แล้วคอมพิวเตอร์กลับให้แผนภาพที่มีแค่ดาวเคราะห์ 7 ดวง?! ดาวเคราะห์ที่หายไปคือยูเรนัสและดาวเนปจูน ปัญหาเกิดขึ้นเพราะแบบจำลองมาตรฐานของการเกิดดาวเคราะห์ต้องการมวลมาชนกันและยึดติดกันแน่นหลายล้านปี เมื่อแกนใหญ่เกิดขึ้น ก๊าซถูกดึงเพื่อสร้างดาวเคราะห์ใหญ่อย่างดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ แต่ไกลกว่านั้นตรงที่เนปจูนและยูเรนัสอยู่
กลับไม่มีมวลมากพอจะสร้างดาวเคราะห์ใดได้ นักทฤษฎีอลัน บอสส์ จากสถาบันคาร์เนจีที่วอชิงตันให้ความคิดใหม่เรื่องกลไกที่สร้างดาวเคราะห์ยักษ์น้ำแข็ง บอสส์นึกภาพดาวเคราะห์ใหญ่ทั้งสี่ในระบบสุริยะของเรา ที่ไม่ได้มีวิวัฒนาการมาจากแกนหิน เมื่อใช้แบบจำลองมาตรฐาน แต่มันยุบตัวจากก้อนก๊าซใหญ่และก้อนฝุ่น การแก้ปัญหา บอสส์จำต้องให้ระบบสุริยะเริ่มแรกของเราอยู่ในส่วนอื่นของอวกาศ เขาเลือกบริเวณที่ดาวเกิดกันหนาแน่น บริเวณแบบนี้รังสีเหนือม่วงจากดาวดวงใกล้ๆ
แผ่ออกไปผลักมวลออกจากยูเรนัสและเนปจูนจนมีน้ำหนักน้อยลงเหลือเท่าที่เห็น ต่อมาระบบสุริยะได้เดินทางจากที่วุ่นวายนั้นมายังบริเวณในปัจจุบัน อันเป็นที่น่ารื่นรมย์ในดาราจักร ความคิดทั้งหมดดูดี แต่นักดาราศาสตร์อื่นสงสัย เรามีทฤษฎีเก่าแก่ที่ทำงานได้ไม่ดีนัก และมีทฤษฎีใหม่จากความคิดที่รุนแรงและกว้างไกล ในพ.ศ. 2546 ในขณะที่นักดาราศาสตร์บางคนกำลังยุ่งคอยมองหาดาวเคราะห์รอบดาวอื่นๆ บางคนก็พยายามหาว่าดาวเคราะห์ในระบบสุริยะของเราเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาได้อย่างไร

วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ร้อนแค่ 6องศาโลกเราก็วินาศได้














ให้จินตนาการเอาเอง ก็คงคิดไม่ออกว่าอุณหภูมิแต่ละองศาที่เพิ่มขึ้นจากภาวะอากาศผันผวนจะเปลี่ยนโฉมหน้าโลกเราไปอย่างไร? และเมื่อนั้นเราจะได้รับผลกระทบอะไรบ้าง? สารคดีความยาว 2 ชั่วโมง เรื่อง "6 องศาเปลี่ยนแปลงโลกได้" จากเนชันแนลจีโอกราฟิก อาจช่วยให้เห็นภาพชัดขึ้น "อุณหภูมิ 6 องศาเซลเซียสเปลี่ยนแปลงโลกได้" หรือ "Six Degrees Could Change the World" เป็นภาพยนตร์สารคดีที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก “มาร์ค ไลนัส” (Mark Lynas) ผู้สื่อข่าวและนักอนุรักษ์นิยมชาวอังกฤษ เจ้าของหนังสือ “ซิกซ์ ดีกรี” (Six Degrees) ซึ่งอ้างว่าได้ค้นคว้าบทความวิทยาศาสตร์หลายหมื่นชิ้นเพื่อเผยให้โลกเห็นความน่ากลัวของมหันตภัยที่คืบคลานมากับอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นในอีก 100 ปีข้างหน้า “สภาวะโลกร้อนนั้นไม่ได้หมายถึงแค่การเพิ่มขึ้นช้าๆ ของอุณหภูมิโลก แต่จริงๆ แล้วมันคือการเปลี่ยนแปลงของระบบต่างๆ ในโลก นั่นเป็นเหตุผลที่เราได้เห็นทั้งความแห้งแล้งและน้ำท่วมในสถานที่ต่างๆ หรือแม้แต่การเกิดน้ำท่วมและสภาวะแห้งแล้งที่เกิดขึ้นในพื้นที่เดียวกันอย่างต่อเนื่อง” ไลนัสกล่าวในตอนหนึ่งของสารคดี ซึ่งเปิดตัวรอบสื่อมวลชนไปเมื่อวันที่ 28 ก.พ.51 ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ภาพที่ปรากฏออกมาตลอด 2 ชั่วโมงของ "6 องศาเปลี่ยนแปลงโลกได้" จึงเริ่มตั้งแต่การกล่าวถึงสัญญาณเตือนภัยเบื้องต้นที่โลกประสบแล้ว เช่น ในทวีปออสเตรเลียที่มีอุณหภูมิสูงขึ้น 1 องศาเซลเซียสในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดภัยแล้งที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ หรือแม้แต่ภัยพิบัติจากเฮอริเคน “แคทรินา” เมื่อปี 2548 ที่ทำลายบ้านเมืองในมลรัฐนิวออร์ลีน ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งแม้จะดูร้ายแรงมาก ทว่าแคทรินาก็ยังเป็นแค่พายุที่มีความรุนแรงระดับ 3 เท่านั้น ขณะเดียวกันในฟากเมืองผู้ดี “อังกฤษ” ก็กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางการเกษตรครั้งใหญ่เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น พืชที่ไม่เคยปลูกได้ในอังกฤษอย่างองุ่นและมะกอกกลับชูช่องดงาม สารคดีดังกล่าวบอกเราด้วยว่า ในช่วง 200 ปีที่ผ่านมาหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม อุณหภูมิโลกได้เพิ่มขึ้นแล้ว 0.6-0.8 องศาเซลเซียส ขณะที่ความเปลี่ยนแปลงอันน่าสะพรึงกลัวกำลังคืบคลานติดตามมา "6 องศาเซลเซียสเปลี่ยนแปลงโลกได้" จำลองภาพให้เห็นว่า เมื่ออุณหภูมิยังเพิ่มขึ้นอีก 1 องศาเซลเซียสเมื่อใด บ้านเรือนผู้คนในเขตอ่าวเบงกอลอาจต้องจมอยู่ใต้น้ำ มหาสมุทรแอตแลนติกตอนใต้จะถูกพายุเฮอริเคนโจมตีอย่างหนัก หรือแม้แต่พื้นที่ฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ ที่อาจต้องแปรเปลี่ยนไปเป็นทะเลทราย ส่วนอุณหภูมิที่เขยิบขึ้นเพียง 2 องศาเซลเซียสก็เลวร้ายเพียงพอทำให้มหานครหลายแห่งทั่วโลกจมอยู่ใต้น้ำ หนึ่งในนั้นคือ “กรุงเทพมหานคร” รวมทั้งหมีที่อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือจะตกอยู่ในภาวะคับขันเพราะธารน้ำแข็งหดหายไป นอกจากนั้น เมื่ออุณหภูมิเพิ่มถึงจุดนี้ แนวปะการังใหญ่ "เกรต แบริเออร์ รีฟ" ของออสเตรเลียอาจเหลือเพียงความทรงจำ และธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุดของกรีนแลนด์ที่ชื่อ “จาคอบชวาน” (Jacobshavn) ก็จะละลายเร็วขึ้นกว่าปัจจุบันที่มีอัตราการละลายตัวของน้ำแข็งอย่างน่าตกใจ เพราะเพียง 2 วันก็มีปริมาณน้ำที่เกิดขึ้นเพียงพอให้ชาวนิวยอร์กดื่มกินและใช้ในชีวิตประจำวันได้มากถึง 1 ปีทีเดียว ส่วนความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น 3 องศาเซลเซียส ตามที่สารคดีดังกล่าวระบุไว้คือ เมื่อนั้นน้ำแข็งบนภูเขาแอลป์จะสูญหายไปทั้งหมด โลกจะเผชิญหน้ากับพายุเฮอริเคนความแรงระดับ 6 ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และการใช้ชีวิตของผู้คนบนโลกจะต้องพลิกโฉมหน้าไปสิ้นเชิง เมื่อโลกร้อนขึ้น 4 องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำในมหาสมุทรต่างๆ จะมีระดับเพิ่มสูงขึ้นจนระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นกว่า 1 เมตร ทำให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำที่มีประชากรหนาแน่น เมืองแห่งแม่น้ำลำคลองอย่าง “เวนิส” รวมไปถึงมหานครสัญลักษณ์ของ “อำนาจทุนนิยม” อย่าง “นิวยอร์ก” จะจมอยู่ใต้บาดาล ไม่เพียงเท่านี้ แม่น้ำคงคาที่เป็นแหล่งน้ำแห่งชีวิตของคนกว่าพันล้านคนในจีน อินเดีย และเนปาลจะเกิดน้ำท่วมอย่างหนักเนื่องจากธารน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัยละลายลงมาจนหมดอย่างถาวร กระทบถึงแหล่งน้ำสะอาดและแหล่งผลิตอาหารอย่างฉกาจฉกรรจ์ จากนั้นเมื่อโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น 5 องศาเซลเซียส มหานครของโลกอย่างลอสแองเจลลิส กรุงไคโร ลิมา และบอมเบย์ที่เคยปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็งในบางช่วงเวลาอาจจะกลายเป็นเมืองที่ไม่มีหิมะอีกเลย อีกทั้งจะมีผู้ลี้ภัยเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงหลายสิบล้านคนและยังมีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดความขัดแย้งในการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติที่ขาดแคลนเพิ่มสูงขึ้นด้วย และในท้ายที่สุด หากอุณหภูมิโดยเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นถึง 6 องศาเซลเซียส โลกของเราจะมีสภาพคล้ายคลึงกับยุคครีเตเซียสเมื่อประมาณ 65-144 ล้านปีก่อนซึ่งโลกมีอุณหภูมิสูงกว่าปัจจุบันมาก น้ำทะเลจะมีสีใสเพราะไม่มีสารอาหารในทะเลหลงเหลืออยู่เลย ทะเลทรายจะครอบครองพื้นโลกมากขึ้นตามทวีปต่างๆ และการเกิดภัยพิบัติจะเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน เมื่อเทียบเคียงกับรายงาน 2 ฉบับแรกของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ไอพีซีซี) พบว่า หากเรายังคงปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศอย่างไม่มีขีดจำกัด อาจทำให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นถึง 6 องศาเซลเซียส ภายในปี 2643 หรืออีก 92 ปีข้างหน้านี้เท่านั้น เเล้วโลกเราจะเป็นอย่างไรในอนาคตละ

วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ค้นพบน้ำบนดวงจันทร์











โดย สำนักข่าวเอเอฟพีและบีบีซีนิวส์รายงานว่าทีมนักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐฯ ร่วมกันศึกษาตัวอย่างเศษหินจากดวงจันทร์อีกครั้งด้วยเทคโนโลยีใหม่ที่มีความ ไวมากกว่าเดิมหลายเท่า ซึ่งทำให้นักวิจัยแต่ละคนถึงกับประหลาดใจอย่างยิ่งที่พบว่ามีองค์ประกอบของ น้ำปะปนอยู่ด้วย จากแต่เติมที่เคยศึกษากันแล้วจนลงมติว่าดวงจันทร์ไม่เคยมีน้ำมาก่อนแม้ใน อดีต ทั้งนี้ได้รายงานผลการวิจัยในวารสารเนเจอร์ (Nature)
นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อกันว่าดวงจันทร์เกิดจากการที่มีวัตถุ ขนาดประมาณดาวอังคารพุ่งเข้าชนโลกหลังจากที่โลกถือกำเนิดขึ้นได้ไม่นานเมื่อ ประมาณ 4.5 พันล้านปีก่อน ทำให้เศษหินเศษดินของโลกบางส่วนหลุดกระจายออกไปในอวกาศ ซึ่งความร้อนที่เกิดจากการปะทะกันครั้งนั้นได้แผดเผาน้ำจนเหือดแห้งไปหมด และต่อมาเศษชิ้นส่วนที่กระจายอยู่ในวงโคจรของโลกก็เกิดการรวมตัวกันกลายเป็น ดวงจันทร์ที่โคจรรอบโลกจนถึงปัจจุบันนี้
ทว่าเมื่อทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบราวน์ (Brown University) มลรัฐโรด ไอส์แลนด์, สถาบันวิทยาศาสตร์คาร์เนกี (Carnegie Institution for Science) กรุงวอชิงตัน ดีซี และ มหาวิทยาลัยเคส เวสเทิร์น รีเสิร์ฟ (Case Western Reserve University) มลรัฐโอไฮโอ ได้ศึกษาตัวอย่างเศษหินภูเขาไฟที่มีลักษณะใสคล้ายแก้วอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งหินดังกล่าวยานอพอลโล (Apollo) นำมาจากดวงจันทร์เมื่อราว 40 ปีก่อน
เดิมทีนักวิทยาศาสตร์เคยตรวจสอบหินจากดวงจันทร์กันมาแล้ว แต่ไม่พบร่องรอยของน้ำแต่อย่างใด จึงให้ข้อสรุปว่าบนดวงจันทร์ปราศจากน้ำ แต่เมื่อนำมาตรวจสอบใหม่อีกครั้ง โดย ใช้เทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า เซคคันเดอรี ไอออน แมสสเปกโตรเมตรี (secondary ion mass spectrometry: SIMS) ซึ่งมีความไวในการตรวจวัดมากกว่าเทคนิคเดิมที่เคยใช้ถึง 10 เท่า สามารถตรวจจับสัญญาณของน้ำได้แม้มีปริมาณน้อยมากๆ
ผลการวิเคราะห์ที่ได้ทำให้นักวิจัยถึงกับทึ่ง เมื่อพบว่าตัวอย่างหินที่นำมาตรวจสอบ มีน้ำเป็นองค์ประกอบปะปนอยู่ประมาณ 46 ส่วนในล้านส่วน (ppm)
ทีมนักวิจัยเชื่อว่าปริมาณที่ตรวจจับได้จะต้องเป็นร่องรอยของน้ำใน ปริมาณมากมายกว่านี้หลายเท่าที่มีอยู่บนดวงจันทร์อย่างแน่นอน และได้ทดสอบไฮโดรเจนที่เป็นองค์ประกอบในโมเลกุลของน้ำ ให้ผลยืนยันว่าไม่ได้เป็นไฮโดรเจนที่มีอยู่ในลมสุริยะหรือว่าปนเปื้อน ไฮโดรเจนมาจากสารระเหยอื่นๆ แต่อย่างใด

"แสดงว่าน้ำเหล่านี้มาจากชั้นแมนเทิล (mantle) ที่อยู่ลึกลงไปใต้พื้นผิวของดวงจันทร์" ผศ.อัลเบอร์โต ซาล (Alberto Saal) นักธรณีวิทยาซึ่งเป็นหนึ่งในทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยบราวน์ ให้ข้อมูลและอธิบายเพิ่มเติมว่า น้ำ ดังกล่าวน่าจะปะปนอยู่กับแมกมาใต้ดิน ซึ่งน่าจะมีอยู่ประมาณ 750 ส่วนในล้านส่วน และปะทุขึ้นมาบนพื้นผิวดวงจันทร์พร้อมกันจากการที่ภูเขาไฟระเบิดเมื่อราว 3.5 พันล้านปีก่อน
นักวิจัยให้เหตุผลว่า การระเบิดของภูเขาไฟครั้งนั้นน่าจะทำให้น้ำที่ปะปนออกมากับลาวาได้รับความร้อนและระเหยเป็นไอไปกว่า 95% แต่ เนื่องจากว่าบนดวงจันทร์ไม่มีชั้นบรรยากาศห่อหุ้ม ประกอบกับแรงดึงดูดของดวงจันทร์มีไม่มากพบที่จะดึงดูดโมเลกุลของไอน้ำเอาไว้ ได้ จึงทำให้ไอน้ำหลุดลอยออกไปสู่อวกาศจนหมด ส่วนน้ำที่เหลืออีกราว 5% น่าจะสะสมกลายเป็นน้ำแข็งอยู่ใต้พื้นผิวบริเวณขั้วของดวงจันทร์
ทั้งนี้ องค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) เตรียมเดินหน้าสมรวจหาร่องรอยของน้ำบนดวงจันทร์อีกครั้ง โดยเอเอฟพีรายงานเพิ่มเติมว่านาซาเตรียมจะส่งยานลูนาร์ รีคอนเนสซองส์ ออร์บิเตอร์ (Lunar Reconnaissance Orbiter) ไปสำรวจดวงจันทร์ภายในเดือน พ.ย. 2551 และจะส่งลูนาร์ เครเตอร์ ออบเซอร์เวชัน แอนด์ เซนซิง แซทเทลไลต์ (Lunar Crater Observation and Sensing Satellite) ตามขึ้นไปต้นปี 2552
บีบีซีนิวส์รายงานเพิ่มเติมว่า การค้นพบครั้งสำคัญนี้จะช่วยเพิ่มข้อมูลให้นักวิทยาศาสตร์สำหรับศึกษาความ เป็นมาของโลกและดวงจันทร์ในอดีต ซึ่งอาจบ่งชี้ได้ว่ามีน้ำเกิดขึ้นบนโลกแล้วก่อนที่จะถูกอุกกาบาตพุ่งชนจนบาง ส่วนกระเด็นออกไปและก่อตัวเป็นดวงจันทร์ สำหรับดวงจันทร์ก็เพิ่มข้อสันนิษฐานว่ามีน้ำบนดวงจันทร์เคยเป็นส่วนหนึ่งของ น้ำบนโลกมาก่อนหรือเปล่า หรือเกิดขึ้นหลังจากนั้นราว 100 ล้านปี
เรื่องราวการพบน้ำบนดวงจันทร์ในครั้งนี้ ถือได้ว่า เป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ ที่จะนำไปสู่ การค้นหาความจริงว่า บนดวงจันทร์มีสิ่งมีชีวิตหรือไม่ เอาล่ะ เรามาคอยลุ้นกันดีกว่า ว่าจะมีสิ่งมีชีวิตบนดวงจันทร์หรือเปล่า เอ้า...น้องๆมีความเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ บอกเล่าเก้าสิบมาได้เลย

เพสที่ 3 ไม่เป็นปัญหาในมหาวิทยาลัย

ดร.สุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมเครือข่ายรองอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิตนักศึกษา ที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เมื่อวันที่ 15 ก.ค. ว่า ที่ประชุมได้รายงานผลสำรวจจำนวนนิสิตนักศึกษาเพศที่ 3 ของแต่ละสถาบัน โดยมีมหาวิทยาลัยที่รายงานผลมา 61 แห่ง ปรากฏว่า มี 34 สถาบันไม่มีนักศึกษาที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนหรือมีจำนวนน้อย และไม่ได้มีปัญหา ส่วนที่เหลือ 27 สถาบัน มีนักศึกษาเพศที่ 3 รวม 2,847 คน แยกเป็นนักศึกษาที่แปลงเพศแล้ว 22 คน และมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ 2,825 คน และเมื่อแยกตามสถาบันพบว่ามหาวิทยาลัยรัฐเดิม มีนักศึกษาแปลงเพศแล้ว 4 คน เบี่ยงเบนทางเพศ 1,003 คน มหาวิทยาลัยราชภัฏ แปลงเพศแล้ว 12 คน เบี่ยงเบนทางเพศ 814 คน มหาวิทยาลัยเอกชน แปลงเพศแล้ว 6 คน เบี่ยงเบนทางเพศ 564 คน ม.เทคโนโลยีราชมงคล เบี่ยงเบนทางเพศ 414 คน และวิทยาลัยชุมชน เบี่ยงเบนทางเพศ 30 คน ดร.สุเมธ กล่าวต่อไปว่า จากข้อมูลดังกล่าวถือว่าจำนวนเพศที่ 3 มีไม่มากนักและไม่เป็นปัญหาต่อการจัดการเรียนการสอน นอกจากนี้มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ยังเสนอว่า สกอ.ควรอนุโลมให้แต่ละมหาวิทยาลัยดูแลกันเอง เพราะแต่ละสถาบันก็มีการบริหารจัดการที่แตกต่างกันไป อาทิ บางแห่งให้แต่งกายตามเพศที่เบี่ยงเบนได้ บางสถาบันก็จัดห้องน้ำสำหรับเพศที่ 3 ส่วนเรื่องของหอพักยังไม่มีการแบ่งแยกชัดเจน เพียงแต่มีการจัดโซนนิ่งหรือพื้นที่ให้กลุ่มเพศที่ 3 เป็นต้น ทั้งนี้ตนจะสรุปข้อมูลทั้งหมดเสนอต่อ นายบุญลือ ประเสริฐโสภา รมช.ศึกษาธิการ ต่อไป “ที่ประชุมยังหารือเกี่ยวกับความปลอดภัยของนิสิตนักศึกษา เนื่องจากพบว่ามีนักศึกษาประสบอุบัติเหตุทางจราจรภายในมหาวิทยาลัยค่อนข้างมาก เช่น ม.ราชภัฏเชียงใหม่ ตั้งแต่เปิดภาคเรียนมีนักศึกษาประสบอุบัติเหตุภายในสถาบันเสียชีวิตถึง 3 คน ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบให้ทุกมหาวิทยาลัยไปเข้มงวดนักศึกษาในการปฏิบัติตามกฎจราจร” ดร.สุเมธ กล่าว

วันอาสาฬหบูชา

วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ นับเป็นวันที่สำคัญในประวัติศาสตร์แห่งพระพุทธศาสนา คือวันที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเทศนาหรือหลักธรรมที่ทรงตรัสรู้ เป็นครั้งแรกแก่เบญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ณ มฤคทายวัน ตำบลอิสิปตนะ เมืองพาราณสี ในชมพูทวีปสมัยโบราณซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในประเทศอินเดีย ด้วยพระพุทธองค์ทรงเปรียบดังผู้ทรงเป็นธรรมราชา ก็ทรงบันลือธรรมเภรียังล้อแห่งธรรมให้หมุนรุดหน้า เริ่มต้นแผ่ขยายอาณาจักรแห่งธรรม นำความร่มเย็นและความสงบสุขมาให้แก่หมู่ประชา ดังนั้น ธรรมเทศนาที่ทรงแสดงครั้งแรกจึงได้ชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แปลว่า พระสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม หรือพระสูตรแห่งการแผ่ขยายธรรมจักร กล่าวคือดินแดนแห่งธรรม
เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีมาแล้วนั้นชมพูทวีปในสมัยโบราณ กำลังย่างเข้าสู่ยุคใหม่แห่งความเจริญก้าวหน้า รุ่งเรืองเฟื่องฟูทุกด้านและมีคนหลายประเภททั้งชนผู้มั่งคั่งร่ำรวย นักบวชที่พัฒนาความเชื่อและ ข้อปฏิบัติทางศาสนา เพื่อให้ผู้ร่ำรวยได้ประกอบพิธกรรมแก่ตนเต็มที่ ผู้เบื่อหน่ายชีวิตที่วนเวียน ในอำนาจและโภคสมบัติที่ออกบวช หรือบางพวกก็แสวงหาคำตอบที่เป็นทางรอกพ้นด้วยการคิดปรัชญาต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องที่เหลือวิสัยและไม่อาจพิสูจน์ได้บ้าง พระพุทธเจ้าจึงทรงอุบัติในสภาพเช่นนี้ และดำเนินชีพเช่นนี้ด้วยแต่เมื่อทรงพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นขาดแก่นสาน ไม่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง แก่ตนเองและผู้อื่น จึงทรงคิดหาวิธีแก้ไขด้วยการทดลองต่าง ๆ โดยละทิ้งราชสมบัติ และอิสริยศแล้วออกผนวช บำเพ็ญตนนานถึง ๖ ปี ก็ไม่อาจพบทางแก้ได้ ต่อมาจึงได้ทางค้นพบ มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง เมื่อทรงปฏิบัติตามมรรคานี้ก็ได้ค้นพบสัจธรรมที่นำคุณค่า แท้จริงมาสู่ชีวิต อันเรียกว่า อริยสัจ ๔ ประการ ในวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศก ๔๔ ปี ที่เรียกว่า การตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จากนั้นทรงงานประกาศศาสนาโดยทรงดำริหาทางที่ได้ผลดีและรวดเร็ว คือ เริ่มสอนแก่ผู้มีพื้นฐานภูมิปัญญาดีที่รู้แจ้งคำสอนได้อย่างรวดเร็วและสามารถนำไปชี้แจงอธิบาย ให้ผู้อื่นเข้ามาได้อย่างกว้างขวาง จึงมุ่งไปพบนักบวช ๕ รูป หรือเบญจวัคคีย์ และได้แสดงธรรม เทศนาเป็นครั้งแรกในวันเพ็ญ เดือน ๘
ใ จ ค ว า ม ส ำ คั ญ ข อ ง ป ฐ ม เ ท ศ น า
ในการแสดงแสดงปฐมเทศนาครั้งแรกของพระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักธรรมสำคัญ ๒ ประการคือ
ก. มัชฌิมาปฏิปทาหรือทางสายกลาง เป็นข้อปฏิบัติที่เป็นกลาง ๆ ถูกต้องและเหมาะสมที่จะให้บรรลุถึงจุดหมายได้ มิใช่การดำเนินชีวิตที่เอียงสุด ๒ อย่าง หรืออย่างหนึ่งอย่างใด คือ
๑. การหมกหมุ่นในความสุขทางกาย มัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง รวมความเรียกว่า เป็นการหลงเพลิดเพลินหมกหมุ่นในกามสุข หรือ กามสุขัลลิกานุโยค ๒. การสร้างความลำบากแก่ตนดำเนินชีวิตอย่างเลื่อนลอย เช่น บำเพ็ญตบะการทรมานตน คอยพึ่งอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น การดำเนินชีวิตแบบที่ก่อความทุกข์ให้ตนเหนื่อยแรงกาย แรงสมอง แรงความคิด รวมเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค
ดังนั้นเพื่อละเว้นห่างจากการปฏิบัติทางสุดเหล่านี้ ต้องใช้ทางสายกลาง ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตด้วยปัญญา โดยมีหลักปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ ๘ ประการ เรียกว่า อริยอัฏฐังคิกมัคค์ หรือ มรรคมีองค์ ๘ ได้แก่
๑. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ คือ รู้เข้าใจถูกต้อง เห็นตามที่เป็นจริง ๒. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ คือ คิดสุจริตตั้งใจทำสิ่งที่ดีงาม ๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือ กล่าวคำสุจริต ๔. สัมมากัมมันตะ กระทำชอบ คือ ทำการที่สุจริต ๕. สัมมาอาชีวะ อาชีพชอบ คือ ประกอบสัมมาชีพหรืออาชีพที่สุจริต ๖. สัมมาวายามะ พยายามชอบ คือ เพียรละชั่วบำเพ็ญดี ๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ คือ ทำการด้วยจิตสำนึกเสมอ ไม่เผลอพลาด ๘. สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ คือ คุมจิตให้แน่วแน่มั่นคงไม่ฟุ้งซ่าน
ข. อริยสัจ ๔ แปลว่า ความจริงอันประเสริฐของอริยะ ซึ่งคือ บุคคลที่ห่างไกลจากกิเลส ได้แก่
๑. ทุกข์ ได้แก่ ปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ บุคคลต้องกำหนดรู้ให้เท่าทันตามความเป็นจริงว่ามันคืออะไร ต้องยอมรับรู้กล้าสู้หน้าปัญหา กล้าเผชิญความจริง ต้องเข้าใจในสภาวะโลกว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ไม่ยึดติด ๒. สมุทัย ได้แก่ เหตุเกิดแห่งทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหา ตัวการสำคัญของทุกข์ คือ ตัณหาหรือเส้นเชือกแห่งความอยากซึ่งสัมพันธ์กับปัจจัยอื่น ๆ
๓. นิโรธ ได้แก่ ความดับทุกข์ เริ่มด้วยชีวิตที่อิสระ อยู่อย่างรู้เท่าทันโลกและชีวิต ดำเนินชีวิตด้วยการใช้ปัญญา
๔. มรรค ได้แก่ กระบวนวิธีแห้งการแก้ปัญหา อันได้แก่ มรรคมีองค์ ๘ ประการดังกล่าวข้างต้น
ผ ล จ า ก ก า ร แ ส ด ง ป ฐ ม เท ศ น า
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแล้ว ปรากฏว่าโกณฑัญญะผู้เป็นหัวหน้าเบญจวัคคีย์ได้เกิดเข้าใจธรรม เรียกว่า เกิดดวงตาแห่งธรรมหรือธรรมจักษุ บรรลุเป็นโสดาบัน จึงทูลขอบรรพชาและถือเป็นพระภิกษุสาวก รูปแรกในพระพุทธศาสนา มีชื่อว่า อัญญาโกณฑัญญะ
ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง อ า ส า ฬ ห บู ช า
“อาสาฬหบูชา” (อา-สาน-หะ-บู-ชา/อา-สาน-ละ-หะ-บู-ชา) ประกอบด้วยคำ ๒ คำ คือ อาสาฬห (เดือน ๘ ทางจันทรคติ) กับบูชา (การบูชา) เมื่อรวมกันจึงแปลว่า การบูชาในเดือน ๘ หรือการบูชาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในเดือน ๘ หรือเรียกให้เต็มว่า อาสาฬหบูรณมีบูชา
โดยสรุป วันอาสาฬหบูชา แปลว่า การบูชาในวันเพ็ญ เดือน ๘ หรือ การบูชาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในวันเพ็ญ เดือน ๘ คือ
๑. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา๒. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเริ่มประกาศพระศาสนา๓. เป็นวันที่เกิดอริยสงฆ์ครั้งแรกคือการที่ท่านโกณฑัญญะรู้แจ้งเห็นธรรม เป็นพระโสดาบัน จัดเป็นอริยบุคคลท่านแรกในอริยสงฆ์๔. เป็นวันที่เกิดพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา คือ การที่ท่านโกณฑัญญะขอบรรพชาและ ได้บวชเป็นพระภิกษุ หลังจากฟังปฐมเทศนาและบรรลุธรรมแล้ว๕. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงได้ปฐมสาวกคือ การที่ท่านโกณฑัญญะนั้น ได้บรรลุธรรม และบวชเป็นพระภิกษุ จึงเป็นสาวกรูปแรกของพระพุทธเจ้า
เมื่อเปรียบกับวันสำคัญอื่น ๆ ในพระพุทธศาสนา บางทีเรียกวันอาสาฬหบูชา นี้ว่า วันพระสงฆ์ (คือวันที่เริ่มเกิดมีพระสงฆ์)
พิธีกรรมที่กระทำในวันนี้ โดยทั่วไป คือ ทำบุญ ตักบาตร รักษาศีล เวียนเทียน ฟังพระธรรมเทศนา (ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร) และสวดมนต์ ดังนั้นในวันนี้จึงถือว่า พุทธศาสนิกชนควรได้รับประโยชน์ ที่เป็นสาระสำคัญจากอาสาฬหบูชา กล่าวคือ ควรทบทวนระลึกเตือนใจสำรวจตนว่า ชีวิตเราได้เจริญงอกงามขึ้นด้วยความเป็นอยู่อย่างผู้รู้เท่าทันโลกและชีวิตนี้บ้างแล้วเพียงใด เรายังดำเนินชีวิตอยู่อย่างลุ่มหลงมัวเมา หรือมีจิตใจอิสระปลอดโปร่งผ่องใสบ้างแล้วเพียงใด

มธ.แจกใบเหลืองนักศึกษาแต่งโป๊

จนถึงตอนนี้ มหาวิทยาลัยทุกแห่งเปิดภาคเรียนกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ "ชุดนักศึกษา" ยังคงเป็นปัญหาคับอกคับใจของเหล่าคณาจารย์และผู้ปกครอง ถ้ายังจำกันได้ ก่อนจะเปิดเทอมเรื่องของชุดนักศึกษาตกเป็นข่าวพาดหัว พร้อมกับที่รองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล วิพากย์การแต่งกายของนักศึกษาว่า ไม่เพียงใส่เสื้อสายเดี่ยว เกาะอก นักศึกษาบางคนใส่ชุดนอน เข้าห้องบรรยาย ก็ยังมีเป็นที่มาของการรื้อระเบียบการแต่งกายว่าด้วยชุดนักศึกษาออกมาปัดฝุ่น ขณะที่ประเด็นการแต่งกายของนิสิตนักศึกษาถูกหยิบขึ้นมาถกเถียงกันอีกวาระ ไม่เพียงเฉพาะในแวดวงวิชาการและกึ่งวิชาการ บรรดาเว็บไซต์ที่มีคนเข้าไปตั้งกระทู้เรื่องการแต่งกายนักศึกษาต่างได้รับการตอบรับมากมาย ความเห็นแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งว่าเป็นเรื่องของ "สิทธิเสรีภาพ" ในการแต่งกาย ส่วนอีกฝ่ายว่าเป็นเรื่องของ "กาละเทศะ" เป็นเรื่องของความเหมาะควร การให้ความเคารพต่อสถานศึกษา มติชน "ประชาชื่น" ลงพื้นที่ไปสำรวจการแต่งกายของนักศึกษา พบว่านักศึกษาหญิงจำนวนมากยังคงนุ่งกระโปรงสั้น-ผ่าสูง เสื้อค่อนข้างพอดีตัว ดร.ปริญญาเล่าถึงระเบียบการแต่งกายของนักศึกษาธรรมศาสตร์ว่า ตามระเบียบของมหาวิทยาลัยระบุไว้ว่า..."นักศึกษามีเสรีภาพในการแต่งกายให้เหมาะสมกับกาละเทศะ ตามที่นักศึกษานิยมและเห็นสมควร" นั่นคือ นักศึกษามีเสรีภาพเลือกได้ว่าจะแต่งชุดนักศึกษาหรือแต่งชุดธรรมดา เพียงแต่ว่าต้องเหมาะสมกับกาละเทศะบางชุดเหมาะที่จะอยู่ในบ้านหรืออยู่ในหอเท่านั้น ไม่เหมาะที่จะใส่มาเข้าห้องเรียน บางชุดเหมาะที่จะใส่ไปงาน เช่น งานราตรี บางชุดอาจจะดูโป๊ แต่ถ้าอยู่ที่สระว่ายน้ำมันก็ไม่โป๊ นี่คือกาละเทศะ"แต่ปัญหาคือ คำว่า "กาละเทศะ" เป็นเรื่องที่เราอาจจะมีความเข้าใจกันน้อยลง อย่างชุดนอนถ้าใส่อยู่ในบ้านก็เป็นสิ่งที่เหมาะสมกับตรงนั้น แต่แต่งมาเข้าห้องเรียนก็ไม่เหมาะสม เราจึงจำเป็นต้องพูดถึงเรื่องเสรีภาพกันให้มากขึ้นในแง่ที่ว่า เสรีภาพจะต้องควบคู่กับความรับผิดชอบ เรื่องของเครื่องแต่งกายเป็นเรื่องกาละเทศะที่เหมาะสม ไม่ใช่เป็นเสรีภาพตามอำเภอใจ"วิธีการแก้ปัญหา ดร.ปริญญาบอกว่า ที่ธรรมศาสตร์จะเตือนโดยการแจก "ใบเหลือง"!
ใช่...ใบเหลืองเหมือนกับที่กรรมการในสนามแข่งขันฟุตบอลแจกให้กับผู้เล่นที่ทำผิดกติกา ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ใช้การแจกใบเหลืองให้กับนักศึกษาที่แต่งกายไม่เหมาะสม แต่งกายล่อแหลม เพื่อขอความร่วมมือ แต่ถ้ายังไม่ได้ผลก็จะแจก "ใบแดง" ล่ะทีนี้ดร.ปริญญากล่าวว่า ที่เลือกใช้ "ใบเหลือง" เพื่อว่าจะดูไม่รุนแรงเกินไป ซึ่ง "ใบเหลือง" ที่ว่ามีขนาด 4X4.5 นิ้ว ด้านหน้าเป็นลักษณะแบบฟอร์มจดหมายขอความร่วมมือในการแต่งกายที่เหมาะสม ด้านหลังเป็นประกาศมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง "การแต่งกายที่ถือว่าเป็นการใช้เสรีภาพเกินกว่าขอบเขตอันเหมาะสม"กล่าวคือ กรณีนักศึกษาหญิง : เสื้อเอวลอยเหนือสะดือ เสื้อเกาะอก เสื้อสายเดี่ยว เสื้อแขนกุด หรือเสื้อรัดรูปเกินไป กระโปรงที่สั้นจนเกินครึ่งหนึ่งของต้นขาหรือสั้นกว่า กางเกงขาสั้นเลยเข่าขึ้นมา กางเกงเล หรือกางเกงที่เอวต่ำกว่าสะโพก ชุดนอน หรือการแต่งกายลักษณะใดที่เห็นชัดแจ้งว่าเป็นการแต่งกายล่อแหลมจนเกินควร หรือเปิดเผยเนื้อตัวร่างกายจนเกินไปจนมีลักษณะไปในทางยั่วยุทางเพศ......นักศึกษาที่แต่งกายลักษณะดังนี้จะถูกห้ามไม่ให้ขึ้นอาคารเรียนหรือเข้าห้องเรียนและห้องสมุด และหน่วยงานต่างๆ ของมหาวิทยาลัยมีสิทธิงดให้บริการได้ รองอธิการบดีฝ่ายนักศึกษา มธ.ชี้แจงว่า "ถ้าแก้ปัญหาด้วยการห้าม การบังคับ จะยิ่งเหมือนทำกับนักศึกษาเหมือนเป็นเด็ก นักศึกษาปี 1 อายุ 18 ปีแล้ว เขาควรจะเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักใช้เสรีภาพ ควรจะเรียนรู้ว่าเสรีภาพมีขอบเขตอยู่ตรงไหน ซึ่งเสรีภาพของการแต่งกายนั้นสิ่งที่กำกับก็คือ "กาละ" และ "เทศะ" ถ้าเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลอาคาร เห็นนักศึกษาคนใดแต่งกายที่ล่อแหลมเกินไป เจ้าหน้าที่ก็จะให้ใบเหลืองกับนักศึกษาเพื่อเป็นการเตือน ซึ่งวิธีการนี้เราถือว่าเป็นการรณรงค์ให้นักศึกษาแต่งกายให้เหมาะสมและถูกกาละเทศะ เพราะเสรีภาพนั้นต้องควบคู่กับความรับผิดชอบ"ทางด้าน รัตติกรณ์ โสรมรรค นักศึกษาคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ปี 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่า การรณรงค์สร้างสำนึกให้กับนักศึกษาในการแต่งกายอย่างเหมาะสม ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี คนที่ใส่ชุดวับๆ แวมๆ มาเรียนเหมือนกับไม่ให้เกียรติคณะ อาจารย์ หรือแม้แต่สถาบันการศึกษา
ปริญญา เทวานฤมิตรกุล"การแต่งกายของนักศึกษาไม่เกี่ยวกับเรื่องของสิทธิเสรีภาพ แต่เป็นเรื่องของการแต่งตัวอย่างไรให้ถูกกาละเทศะมากกว่า ที่ผ่านมาอาจารย์หลายๆ คนก็ไม่ได้บังคับว่าจะต้องใส่ชุดนักศึกษาเท่านั้นจึงจะเข้าเรียนได้ เพียงแต่ให้แต่งชุดสุภาพ คือ จะต้องใส่กางเกงขายาว ยกเว้นเวลาที่จะต้องติดต่อกับหน่วยงานหรือห้องสมุดที่จะต้องแต่งชุดนักศึกษา"รัตติกรณ์บอกอีกว่า โดยความเห็นส่วนตัวเห็นว่าคนที่เอ็นทรานซ์เข้ามาเรียนที่นี่ได้แล้วน่าจะรู้สึกภาคภูมิใจกับชุดนักศึกษา และโอกาสที่จะได้ใส่ชุดนักศึกษามีเพียง 4 ปี เท่านั้น หลังจากนั้นเราก็จะอยู่ในอีกสถานภาพหนึ่งที่ไม่ใช่นักศึกษาแล้วพนิตา เจริญผลารักษ์ นักศึกษาคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ปี 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นอีกคนที่เห็นด้วยกันการฟื้นระเบียบการแต่งกายของนักศึกษาขึ้นมาใช้ในเชิงปฏิบัติ เธอบอกว่า การแต่งชุดนักศึกษาทำให้ภาพลักษณ์ของนักศึกษาดูดี สมกับเป็น "นักศึกษา" ดูเป็นระเบียบ อีกทั้งยังเป็นการประหยัดเงินพ่อแม่ ไม่ต้องไปหาซื้อเสื้อผ้าที่แพงๆ ทันสมัยมาใส่อวดกับเพื่อนๆ เพราะชุดนักศึกษาชุดหนึ่งราคาประมาณ 300-400 บาท สามารถใส่ได้ตั้งหลายเทอม "เวลาที่ได้ใส่ชุดนักศึกษานอกจากเราจะรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นนักศึกษาของสถาบันแห่งนี้ และเป็นความภาคภูมิใจของพ่อแม่ด้วย"ไม่มีใครปฏิเสธว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ แต่เสรีภาพนั้นก็ควรตั้งอยู่บนการรู้จักกาละเทศะ มิใช่หรือ จึงสมกับการที่ได้ชื่อว่าเป็นปัญญาชน ดร.กรรณิกา คำดีหัวหน้าฝ่ายพัฒนาและวินัยนิสิต กองกิจการนิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตามปกตินิสิตที่นี่ไม่ค่อยแต่งกายหวือหวาเท่าไหร่ อาจจะด้วยวัฒนธรรมของนิสิตเกษตรฯที่ค่อนข้างจะเรียบง่าย ติดดิน เราค่อนข้างดูแลเรื่องการแต่งกายของนิสิตอยู่แล้ว และทำกันมาตลอด หากนิสิตแต่งกายไม่ถูกต้องตามกฎของมหาวิทยาลัย อาจารย์จะไม่ให้เข้าเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาสอบ เราจะเข้มงวดมาก เพราะเราอยากให้นิสิตเรียบร้อย แต่ก็จะอนุโลมให้เด็กใส่รองเท้าสีขาว รัดส้นเท้า ส่วนสีของก็จะเป็นกระโปรงสีดำ หรือสีกรมท่า ขณะเดียวกัน ทางมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ทำโปสเตอร์รณรงค์เรื่องการแต่งกายให้ถูกระเบียบเพื่อเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์ไปสู่วิทยาเขตต่างๆ ตามโครงการ "ก้าวแรกสู่บัณฑิตยุคใหม่" ผศ.ญาณวุฒิ สุพิชญางกูรผู้อำนวยการสำนักงานกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยรังสิตช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเราได้แจ้งไปทุกคณะว่าน้องใหม่ทุกคนจะต้องแต่งกายตามระเบียบ โดยจะให้รุ่นพี่เป็นคนดูแล เนื่องจากที่มหาวิทยาลัยยังยึดระบบโซตัส รุ่นน้องจะให้ความเกรงใจและเชื่อฟังรุ่นพี่ อาจารย์เองก็จะต้องเรียนรู้ถึงพฤติกรรมนักศึกษาในแต่ละยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เช่น นอกจากแต่งตามกระแสแฟชั่นแล้ว นักศึกษาเองมีปัญหาทางบ้านหรือไม่ กรณีของการแต่งกายไม่สุภาพ จะใช้การตักเตือน ไม่นิยมการภาคทัณฑ์ เพราะถ้าทำอะไรที่รุนแรงไปก็เหมือนกับว่าเราไล่นักศึกษาให้ออกจากสถาบันเร็วขึ้น เราจะไม่เอาระบบการศึกษาไปร่วมกับระบบพฤติกรรมของนักศึกษา แต่จะใช้การละลายพฤติกรรมเหล่านั้น ให้เขาปรับตัวให้เข้ากับสถาบันการศึกษาได้ ซึ่งโดยมากจะใช้การพูดคุยทำความเข้าใจกัน ผศ.วรรณวิภา ทัพวงศ์รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์มีสโลแกนรณรงค์การแต่งกายชุดนักศึกษาว่า "ไม่แตะ ไม่เต่อ ไม่ติ้ว" คือ ไม่ใส่รองเท้าแตะ ไม่ใส่กระโปรงสั้นเต่อ และไม่ใส่เสื้อคับติ้ว รวมถึงไม่อนุญาตใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ และปล่อยชายเสื้อไว้นอกกางเกงและกระโปรงเรามีโครงการ "ดีพิว สมาร์ท" (dpu smart) เป็นโครงการรณรงค์ให้นักศึกษาแต่งกายอยู่ในระเบียบ โดยจะทำเป็นบัตรสะสมแต้มสำหรับให้อาจารย์ท่านใดก็ได้ในมหาวิทยาลัยเซ็นชื่อรับรองการแต่งกายที่ถูกระเบียบของนักศึกษา วันละ 1 ช่อง เท่ากับ 1 แต้ม สะสมจนครบ 20 แต้ม สามารถนำมาแลกรางวัลได้ โดยของรางวัลจะเป็นหัวเข็มขัด กระดุม หรือที่ห้อยปกเสื้อ หรือตุ้งติ้ง"ถ้าแต่งกายผิดระเบียบจะมีการตักเตือนจนไปถึงขั้นยึดบัตรนักศึกษา ถ้าทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีกจะมีการเพิ่มระดับการลงโทษ คือ การตัดคะแนนจิตพิสัยและความประพฤติ ซึ่งจะทำให้ไม่มีสิทธิได้รับใบรับรองความประพฤติ และจะนำนักศึกษาไปรับการอบรมบุคลิกภาพ เพื่อปลุกจิตสำนึกที่ถูกต้อง"

วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เรื่องเหลือเชื่อ

1. เส้นเลือดในร่างกายมนุษย์มีความยาวรวม 62,000 ไมล์ ถ้านำมันมาเรียงต่อกันเป็นทางยาวจะได้ความยาว ถึง 2.5 เท่าของเส้นรอบวงโลก
2. The Great Barrier Reef (แนวปะการังที่ยาวทีสุดในโลกบริเวณออสเตรเลีย) เป็นโครงสร้างสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีความยา วกว่า 2000 กิโลเมตร
3. โอกาสที่โลกจะถูกโจมตีด้วยอุกาบาตขนาดใหญ่ อยู่ที่ 9300 ปีต่อครั้ง
4. ดาวนิวตรอนขนาดเท่าหัวแม่มือมีน้ำหนักกว่า 100 ล้านตัน
5. พายุเฮอริเคนหนึ่งลูกผลิตพลังงานเท่ากับระเบิดขนาด 1 เมกะตันจำนวน 8000 ลูก
6. คาดว่ามีพยาธิปากขอ ซึ่ึงดูดเลือดเป็นอาหารอยู่ในร่างกายมนุษย์โลกเรา 700 ล้านคน
7. Fred Rompelberg คือผู้ขี่จักรยานด้วยความเร็วที่สุดในโลกด้วยความเร็ ว 166.94 ไมล์ต่อชั่วโมง
8. มนุษย์เราสามารถคิดค้นแสงเลเซอร์ที่มีความสว่างกว่าแ สงอาทิตย์ 1 ล้านเท่า
9. 65% ของผู้ป่วยออทิสติคส์ เป็นคนถนัดซ้าย
10. Finnish pine tree (ต้นสนชนิดหนึ่งในฟินแลนด์) มีความยาวของรากแต่ละต้นรวมแล้วกว่า 30 ไมล์
11. จำนวนเกลือที่อยู่ในน้ำทะเลทัี่วโลกเรา สามารถปกคลุมพื้นผิวทวีปทั่วโลกได้หนากว่า 500 ฟุต
12. กลุ่มแก๊สระหว่างหมู่ดาวในราศีธนู มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์นับหมื่นล้านล้านลิตร
13. หมีขั้วโลกสามารถวิ่งด้วยความเร็ว 25 ไมล์ต่อชัวโมง และกระโดดได้สูงกว่า 6 ฟุต
14. มนุษย์และปลาโลมาสืบสายพันธ์เดียวกันมาตั้งแต่ 60 - 65 ล้านปีก่อน
15. กล้อง infared จับภาพหมีขั้วโลกได้ยากมาก เนื่องจากคุณสมบัติของขนของมัน
16. เฉลี่ยแล้วในหนึ่งปี คนเราจะกินสัตว์จำพวกเห็บลิ้นไร โดยไม่ได้ตั้งใจไป 430 ตัวต่อคนต่อปี
17. รากของต้น Rye(ข้าวชนิดหนึ่งใช้หมักสุรา) สามารถแผ่ขยายไปได้ถึง 400 ไมล์
18. อุณหภูมิบนพื้นผิวของดาวพุธสูงกว่า 430 องศาเซลเซียสในเวลากลางวัน แต่ลดลงต่ำกว่า ติดลบ 180 องศาเซลเซียสในเวลากลางคืน
19. ภายใน 24 ชั่วโมง ต้นโอ๊กขนาดใหญ่ขับน้ำ(ในรูปของไอน้ำ)ออกมา 10 - 25 แกลลอน
20. ผีเสื้อรับรู้รสด้วยขาหลังของมัน โดยประสาทการรับรู้ทำงานโดยการสัมผัส ทำให้มันรู้ว่าใบไม้และดอกไม้ที่มันสัมผัส มีรสชาติอย่างไรและกินได้หรือไม่

10 เคล็ดลับนอนหลับสบาย

นอนเถอะค่ะ... แล้วพรุ่งนี้ทุกอย่างจะดีเอง คำพูดนี้อาจฟังดูไม่สมเหตุสมผล แต่เชื่อเถอะว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะการหลับสนิทในช่วงที่ร่างกายต้องการพักผ่อนคือการชาร์จพลังที่ดีที่สุด ที่มอบคุณประโยชน์มหาศาลทั้งร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา น่าตกใจกับผลการวิจัยในสหรัฐอเมริกาชิ้นหนึ่งที่พบว่าเมืองนิวยอร์กทั้งเมืองล้วนเต็มไปด้วยสาวก Sleepless Society คนนอนไม่หลับมากมาย ในจำนวนนี้ยังได้หมายรวมไปถึงกลุ่มคนที่พยายามจะนอนให้หลับ และกลุ่มคนที่เทคยานอนหลับด้วย จากการแยกแยะวิเคราะห์พฤติกรรมและผลกระทบยืนยันว่า คนส่วนใหญ่เป็นหนุ่มสาวที่มีอายุระหว่าง 25-35 ปี ซึ่งมีความเคร่งเครียดหลักจากสภาวะกดดันเรื่องความก้าวหน้าในการงาน และค่าครองชีพ การนอนไม่หลับอันเนื่องจากไม่รู้จัก Shut Down ความคิดที่วนเวียนในสมองนี้ ยังส่งผลให้เกิดอาการซึมเศร้า หดหู่ ที่กระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน และความคิดสร้างสรรค์อีกด้วย และเมื่อเป็นอย่างนี้นานเข้า มันก็จะเริ่มก่อตัวเป็นวัฏจักรที่ไม่สิ้นสุด นั่นคือ เครียด-นอนไม่หลับ-หดหู่ซึมเศร้า-ขาดพลังงานและความคิดสร้างสรรค์-ผลงานไม่น่าประทับใจ-วิตกจริต และกลับมาสู่วงจรแห่งความเครียดซ้ำซ้อน นักวิชาการทั่วโลกต่างออกมายืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า... นี่คือมหันตภัยทางจิต ของเวิร์กกิ้งแมนและวูแมนทั่วโลกแห่งปี 2008 ที่น่ากลัว 9 Checks, Are You A Sleepless Society? ลองมาเช็กดูกันดีกว่าว่าวันนี้คุณมีอาการเข้าใกล้วงจรนอนไม่หลับแค่ไหน...คุณมีอาการแบบนี้หรือเปล่า • หลับตานานแล้ว แต่สมองยังไม่หยุดคิด • มักรู้สึกตัวระหว่างนอนหลับเป็นระยะๆ • ระหว่างหลับรู้สึกว่าสมองยังคิดและกังวล • ไม่อยากตื่นทั้งที่รู้สึกว่านอนมานานแล้ว • ความคิดตื้อตันไม่ทันใจ • ง่วงนอนระหว่างวัน • รู้สึกซึมเศร้าอย่างไม่มีสาเหตุ • ปวดหัว และอ่อนเพลียง่าย • ตื่นด้วยความงัวเงียไม่แจ่มใส แม้จะอาบน้ำและแปรงฟัน 10 Ways to Sleep Well ใช้ชีวิตเปลี่ยนแนว เพื่อการนอนหลับที่เป็นสุขและหมดทุกข์เรื่องเครียดกังวล กับ 10 คำแนะนำเหล่านี้ 1. เข้านอนก่อน 4 ทุ่ม และตื่น 6 โมงเช้า เพราะนี่คือช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการพักผ่อนร่างกาย 2. สะสาง วางแผนสิ่งที่กังวลที่จะทำในวันต่อไปให้เรียบร้อยเพื่อลดอาการวิตกจริต และคิดซ้ำซาก 3. บอกกับตัวเองว่าการเครียดกังวล และใช้สมองในช่วงที่ต้องนอนหลับนั้นเปล่าประโยชน์ เนื่องจากสติ สัมปชัญญะ และความอ่อนล้าของร่างกายคืออุปสรรค ดังนั้น นอนหลับให้สนิทแล้วตื่นมาคิดอย่างแจ่มใส ย่อมให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพดีกว่า 4. ถ้าคุณนอนหลับยาก ควรออกกำลังกายในช่วงเย็น หรือ 4-6 ชั่วโมงก่อนนอน แต่อย่าทำใกล้เวลานอน 5. ปรับอุณหภูมิห้องให้เย็นระหว่าง 17-25 องศาเซลเซียส แล้วจะหลับง่ายสบายบอดี้ 6. เสริมเครื่องฟอกอากาศในห้องนอนเพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนที่สมดุล จะนอนหลับลึกได้ต่อเนื่อง 7. ความมืดมิดและไร้เสียง คือเคล็ดลับที่จะทำให้หลับได้สนิทและยาวนาน 8. ดื่มหรือรับประทานอาหารที่มีองค์ประกอบของกรด อะมิโน Tryptophan จากโปรตีน อย่างธัญพืช หรือเครื่องดื่ม Whole Grains ก่อนนอน จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายปล่อยสาร Niacin จากวิตามินบี 5 ทำให้สมองและร่างกายผ่อนคลาย และง่วงนอนง่ายขึ้น 9. สร้างกิจวัตรใหม่ด้วยการเข้านอนและตื่นให้เป็นเวลาเดียวกันทุกวัน ลองทำแค่ 1 อาทิตย์ ติดต่อกัน ร่างกายก็คุ้นเคยแล้ว 10. หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ และช็อกโกแลตระหว่างวัน เพราะกาเฟอีนที่ผสมอยู่จะทำให้ร่างกายตื่นตัว สมองคืออาวุธที่จะมีประสิทธิภาพที่สุดเมื่อถูกนำมาใช้ในเวลาที่แจ่มใสที่สุด ดังนั้น ถ้าใครยิ่งต้องการความก้าวหน้า และความเฉียบแหลม จึงยิ่งต้องบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือการรู้จัก...ใช้เมื่อพร้อมถึงขีดสุด และหยุดดูแลเมื่อเต็มล้า

5นักวิทยาศาสตร์ที่โชคร้ายที่สุด

หลุยส์ สโลทิน/อเล็กซานเดอร์ บอกกานอฟเดอะลิสต์ยูนิเวิร์สต์ เจ้าของเว็บไซต์ http:/ listverse.com/ จัดอันดับ 5 นักวิทยาศาสตร์โชคร้ายที่สุดในโลก ที่เสียชีวิตเพราะการทดลองของตนเอง การทดลองของท่านเหล่านี้ สร้างประ โยชน์ให้กับมนุษยชาติ แม้ต้องแลกกับชีวิต นักวิทยาศาสตร์ที่โชคร้ายที่สุดลำดับแรกคือ นายหลุยส์ สโลทิน (1 ธันวาคม ค.ศ. 1910 - 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1946) ชาวแคนาดา ทำงานให้กับโครงการ "แมนฮัตตันโปรเจ็กต์" ขณะทำการทดลอง สโลทินทำลูกบีรีเลียมตกลงบนลูกบีรีเลียมอีกลูกหนึ่ง ทำให้เกิดปฏิกิริยาอย่างรุนแรงขึ้นมา เนื่องจากลูกบีรีเลียมหุ้มด้วยพลูโตเนียม ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า เห็นแสงสีฟ้าในอากาศและรู้สึกว่ามีคลื่นความร้อน สโลทินเสียชีวิตในอีก 9 วันต่อมา พบว่า รังสีที่เขาได้รับเหมือนกับยืนอยู่ห่างจากระเบิดปรมาณู 4,800 เมตรเท่านั้น
อลิซาเบธ แอสเชม/ เดอ โรสิเอร์คาร์ล สคีลอันดับ 2 อเล็กซานเดอร์ บอกกานอฟ (22 สิงหาคม ค.ศ. 1873 - 7 เมษายน ค.ศ. 1928) เป็นทั้งแพทย์ นักปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์ นักเขียนนวนิยายไซไฟ ชาวรัสเซีย เมื่อค.ศ. 1924 เขาทำการทดลองเรื่องการถ่ายเลือด มีตัวเองเป็นหนูทดลอง เพื่อหาวิธีสร้างความอ่อนเยาว์ และปี 1928 เขาเสียชีวิตเพราะเลือดที่ผู้บริจาคให้มามีเชื้อมาลาเรียและวัณโรค อันดับ 3 อลิซาเบธ แอสเชม สมรสกับน.พ.วูล์ฟ ที่มีความสนใจด้านรังสีเอกซเรย์ ทำให้เธอสนใจศาสตร์ด้านนี้ด้วย ทั้งสองซื้อเครื่องเอกซเรย์มา นับเป็นห้องทดลองเอกซเรย์แรกของนครซานฟรานซิสโก ทั้งวูล์ฟและภรรยาใช้ตนเองทดลองโดยไม่ทราบผลกระทบของรังสี ภายหลังเธอเสียชีวิตเพราะโรคมะเร็งอันดับ 4 ฌอง ฟรังซัวร์ เดอ โรสิเอร์ (30 มีนาคม ค.ศ. 1754 - 15 มิถุนายน ค.ศ. 1785) เป็นนักฟิสิกส์และนักเคมีชาวฝรั่งเศส จากการที่เขาเห็นบอลลูนลูกแรกของโลกที่ลอยขึ้นไปในท้องฟ้า ทำให้เขาอยากจะบิน หลังจากนำแกะ ไก่ เป็ดทดลองขึ้นไปบนบอลลูน เขาทำการทดลองกับตนเองโดยพยายามบินข้ามช่องแคบอังกฤษ แต่เมื่อบอลลูนขึ้นไปถึงระดับ 1,500 ฟุต ก็ตกลงมา ทำให้เขาและคู่หมั้นเสียชีวิตอันดับ 5 คาร์ล สคีล (19 ธันวาคม ค.ศ.1742 - 21 พฤษภาคม ค.ศ. 1786) เป็นนักเคมีชาวสวีเดนและเป็นผู้ค้นพบออกซิเจน ทังสเตน แมงกานีส คลอรีน เป็นผู้มีนิสัยชอบชิมรสสารเคมีที่ค้นพบใหม่ๆ ชิมไฮโดรเจนไซยาไนด์แต่รอดชีวิตมาได้ ท้ายสุดมีอาการเหมือนกับได้รับสารปรอท
ที่มา หนังสือพิมพ์ข่าวสด

รู้หรือไม่พีระมิตต้องใช้คนสร้างกี่คน

ในบรรดาเหล่าโบราณสถานทั้งหลายที่คนโบราณสร้าง ไม่มีถาวรวัตถุใดประทับใจมนุษย์ปัจจุบันได้มากเท่าพีระมิด ความเชื่อมั่น ในศาสนาอย่างจริงจังของชาวอียิปต์เมื่อ 4,800 ปี ก่อนได้ผลักดันให้พวกเขา “เนรมิต” สิ่งมหัศจรรย์สิ่งหนึ่งของโลกขึ้นมาเพื่อถวายเป็นกษัตริย์บูชาแก่องค์ฟาโรห์ ที่เขานับถือประดุจเทพเจ้า
ผู้คนชาวอียิปต์ในสมัยนั้นนิยมฝังศพในหลุมกลางทะเลทราย ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าวศพที่จะฝังจะเน่าเปื่อยไม่หมด บางศพจึงมีผิวหนังและผมหลงเหลืออยู่ การได้เห็นซากศพที่มีลักษณะเช่นมัมมี่ได้ทํ าให้ผู้คนสมัยนั้นมีความคิดจะเก็บพระศพขององค์ฟาโรห์ ในสุสานพิเศษที่เรียกพีระมิดบ้าง
กษัตริย  Zoser เป็นกษัตริย์ระองค์แรกที่ทรงสร้างพีระมิดขึ้นที่เมือง Memphis และในเวลาต่อมาอีกไม่นานกษัตริย์ Khufu ก็ได้สร้างพีระมิดขนาดใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นที่เมือง Giza พีระมิดนี้สูง 146.7 เมตร มีฐานกว้างและยาว 230 เมตร ประกอบด้วยหิน 2 ล้าน 3 แสนก้อนหิน แต่และก้อนมีนํ้ าหนักโดยเฉลี่ย 2.5 ตัน มีประตูเปิด เข้าสู่ภายในพีระมิดที่ระดับเหนือพื้นดิน 18 เมตร Herodotus ได้เคยบันทึกไว้ว่า การสร้างพีระมิดลูกนี้ต้องใช้คน 1 แสนคน และเวลาในการก่อสร้างนาน 30 ปี
แต่ Herodotus เขียนข้อมูลนี้หลังจากที่พีระมิดถูกสร้างเสร็จแล้ว 2,000 ปี ดังนั้นข้อมูลเขาจึงไม่น่าเชื่อถือ คํ าถามที่น่าสนใจคือ พีระมิด Khufu ต้องใช้คนสร้างกี่คน
พีระมิดแห่งอียิปต์ต้องใช้คนสร้างกี่คน
คําถามนี้ตอบยากเพราะในสภาพความเป็นจริงไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าคนอียิปต์ยุคนั้นมีวิธีการใดและใช้อุปกรณ์ใดบ้างในการสร้าง
ในวารสาร Cambridge Archaeological Journal ฉบับเดือนมิถุนายน พ.ศ.2538 S.K. Wier ได้รายงานว่า จากผลการคํานวณอย่างหยาบๆ โดยการใช้วิชากลศาสตร์และประวัติศาสตร์ จํานวนคนที่ใช้ในการก่อสร้างพีระมิดมีประมาณ 10,000 คนเท่านั้นเอง Wier คิดว่าในการสร้างพีระมิด Khufu ไม่มีใครล่วงรู้ว่า กษัตริย์ Khufu จะทรงครองราชย์นานกี่ปี ดังนั้นเขาจึงคาดคะเนว่าระยะเวลาที่ใช้ในการก่อสร้างคงจะนานพอๆ กับช่วงเวลาที่พระองค์ทรงครองราชย์ ซึ่งก็นานประมาณ 23 ปี หรือ 8,400 วัน Wier ยังสมมติต่ออีกว่า หินที่ใช้ในการสร้างนั้นถูกสกัดเกลา และเคลื่อนย้าย
โดยใช้พลังคนเพียงอย่างเดียว เพราะชาวอียิปต์สมัยนั้นไม่มีปั้นจั่นหรือลูกรอกใดๆ และการสร้างได้เริ่มสร้างจากฐานสู่ยอด เมื่อเขาเอาปริมาตรของพีระมิด (2.6 ล้านลูกบาศก์เมตร) หารด้วยเวลา เขาก็พบว่าโดยเฉลี่ยแล้วกรรมกรจะต้องติดตั้งหินปริมาตร 309 ลูกบาศก์เมตรในหนึ่งวัน แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าทาสหรือกรรมกรเหล่านั้นจะทํ างานได้ในอัตรานี้ทุกวัน เพราะพีระมิดยิ่งสูง กระบวนการขนหินก็ยิ่งยาก และพื้นที่ทํ างานในบริเวณยอดจะยิ่งน้อย จึงเป็นไปได้ว่าความเร็วในการก่อสร้างจะสูงในระยะแรก แต่จะช้าในระยะหลัง
Wier ได้ประมาณต่ออีกว่า เมื่อกรรมกรแต่ละคนมีความสามารถในการทํ างานได  2.5 แสนจูลต่อวันและพลังงานที่ต้องใช้ในการสร้างพีระมิด Khufu ทั้งลูกมีค่า 2.5 ล้านจูล ดังนั้นการสร้างจึงต้องใช้คน 1,250 คน ทํางาน 8,400 วัน แต่การใช้คนจํ านวนน้อยเช่นนี้ดูๆ จะไม่เหมาะสมกับสถานภาพของกษัตริย์อียิปต์เลย เพื่อให้ได้ตัวเลขที่สมเหตุสมผล Wier ได้อาศัยข้อมูลจากภาพวาดบนผนังพีระมิดชื่อ Djihutihotep แห่งเมือง Deir-el-Bersha ซึ่งเป็นภาพของอนุสาวรีย์ขนาดสูง 5 เมตร และหนัก 50 ตัน ที่ต้องใช้คนลาก 172 คน นั่นก็หมายความว่าทาสแต่ละคนต้องออกแรงโดยเฉลี่ย 11.5 กิโลกรัมเพื่อลากหินที่หนัก 330 กิโลกรัม โดยอาศัยข้อมูลนี้ Wier จึงสรุปว่าการสร้างพีระมิด Khufu ต้องใช้คนอย่างน้อย 9,500 คน และอย่างมากไม่เกิน 12,800 คน ในระยะเริ่มต้น และเมื่อถึงระยะสุดท้ายของการสร้างจํ านวนคนที่จํ าเป็นจะต้องมีอย่างน้อย 35 คน และอย่างมากไม่เกิน 41 คน
โดยสรุป Wier มีความเห็นว่า คนหมื่นคนก็เพียงพอสํ าหรับการสร้างพีระมิด Khufu แล้วและเมื่อพิจารณาจํ านวนประชากรของอียิปต์ในขณะนั้น (1.1 – 1.5 ล้านคน) เราก็จะเห็นว่าจํ านวนคนก่อสร้างคิดเป็น 1 เปอร์เซ้นต์ของคนทั้งประเทศ เขาจึงไม่เห็นว่างานก่อสร้างพีระมิดเป็นเรื่องที่ประเทศต้องทุ่มเททรัพยากรแต่ประการใด แต่ประเด็นที่น่าประหลาดใจคือ โครงการนี้ ใช้เวลาดํ าเนินการนานถึง 23 ปี ซึ่งถือว่าวิศวกรยุคนั้นมีการวางแผนและการควบคุมทาสในการก่อสร้างได้นาน และมีประสิทธิภาพมาก

นอนไม่หลับทำให้อ้วนได้นะ

เพื่อนๆเคยมีปัญหาเรื่องนอนหลับไม่เพียงพอ หรือนอนไม่หลับกันบ้างมั้ยคะ?
หลายๆ คนอาจจะเคยสงสัยว่า ทำไมนอนน้อยแล้วน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น? ขอบอกว่า นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอนค่ะ
สาเหตุก็คือ “การอดนอน ทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญลดลงและมีความหิวเพิ่มขึ้น” การนอนไม่พอทำให้ฮอร์โมนเลปตินซึ่งทำให้เรารู้สึกอิ่มมีระดับลดลง ขณะที่ฮอร์โมนเกรลินซึ่งทำให้เรารู้สึกหิวมีระดับสูงขึ้น
การอดนอนจะมีผลต่อการเลือกกิน ทำให้เราอยากกินอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลเพิ่มขึ้น หรือพูดง่ายๆ ว่า เมื่อเรานอนพักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายจะรู้สึกอ่อนเพลีย และที่สำคัญคือ...เราจะไม่พิถีพิถันในการเลือกกิน แต่เราจะเลือกกินเฉพาะอาหารที่ทำให้เรารู้สึกสดชื่นขึ้นเท่านั้น เช่น ของหวาน ช็อกโกแลต ขนมขบเคี้ยว เป็นต้น และถ้าเราไม่สามารถหักห้ามใจจากขนมหวานได้ ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสเกิดโรคเบาหวานชนิดที่สองอีกด้วย (น่ากลัวมั้ยล่ะ)
นอกจากการนอนน้อยจะทำให้อ้วนง่ายแล้ว การนอนหลับไม่เพียงพอยังทำให้ฮอร์โมนเครียดและการอักเสบในร่างกายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ภูมิต้านทานโรคลงลง ในที่สุดก็จะทำให้เราป่วยบ่อยๆ ...
และที่สำคัญที่สุด...การนอนไม่พอ จะทำให้ร่างกายเราขาด “โกรทฮอร์โมน” ซึ่งก็คือฮอร์โมนที่ช่วยให้เราดูดีแม้จะมีอายุมากขึ้น เพราะตามปกติแล้ว เมื่อเราอายุ 20-60 ปี ร่างกายจะค่อยๆ ผลิตโกรทฮอร์โมนลดน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งนั่นก็แปรผันตรงกับหนังหน้าเราที่เหี่ยวย่นไปตามกาลเวลาค่ะ (เศร้าเนอะ) ฮอร์โมนชนิดนี้ไม่เพียงมีฤทธิ์เสริมสร้างกล้ามเนื้อ ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งเท่านั้น แต่ยังทำให้เรา...ดูเซ็กซี่อีกด้วย (อิอิ)
วิธีแก้โรคง่วงเหงาหาวนอน และอาการเพลียจากการพักผ่อนไม่เพียงพอที่ดีที่สุดคือ "นอน และนอนให้เพียงพอ" โดยการพักผ่อนที่เพียงพอก็คือ วันละ 6-8 ชั่วโมง หรือใครที่นอนดึกแล้วจะแอบงีบหลับระหว่างวันก็ได้ แต่อย่าเผลอแอบงีบในห้องเรียนนะจ๊ะ!!! โดยเวลาที่เหมาะสมในการงีบหลับก็คือ ไม่เกิน 30 นาทีต่อครั้งเท่านั้นค่ะ
ทั้งนี้ ก็ต้องหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ และหลีกเลี่ยงแสงสว่างก่อนเข้านอนด้วย และหากมีเรื่องกังวลใจจนทำให้นอนไม่หลับ ก็ให้จดบันทึกเรื่องราวเหล่านั้นไว้ก่อน แล้วบอกตัวเองว่าพรุ่งนี้ค่อยจัดการ เพียงเท่านี้ เราก็จะนอนหลับกันอย่างสบายใจแล้วค่ะ ส่วนใครที่มีวาระแห่งชาติ ติดภารกิจแชท อ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม คุยโทรศัพท์ ฯลฯ จนต้องนอนดึกละก็ อย่าลืมแบ่งเวลามาดูแลตัวเองบ้างนะคะ ^^
..

วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ดูแลผิวหนังหน้าร้อน

ดูแลผิวหนังหน้าร้อน
ภาวะโลกร้อนทำให้ รังสียูวีเอ (UVA) และ ยูวีบี (UVB) จากแสงแดดส่องลงมามากกว่าปกติ โดยรังสียูวีเอมีอนุภาคสูงในการทำลายชั้นผิวหนัง ทำให้เกิดผิวคล้ำเสียถาวร เนื่องจากจะไปทำลายคอลลาเจนจนทำให้เกิดริ้วรอย และอาจเป็นมะเร็งผิวหนังได้ หากสะสมในปริมาณมาก ส่วนรังสียูวีบีแม้จะมีพลังงานน้อยกว่ายูวีเอ ไม่สามารถเข้าไปทำลายผิวหนังชั้นใน แต่สามารถทำให้เกิดผิวหนังเกรียมแดดและผิวคล้ำหลายวัน เกิดริ้วรอยบนผิวหนัง และอาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้นพ.เรวัต วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ปัจจุบันพบคนไทยเป็นโรคผิวหนังไหม้จากแดดไม่มากนัก แต่ผิวที่ไหม้จากการถูกแสงแดดจะเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นไฝได้ และบางส่วนเมื่อเวลาผ่านไปไฝที่เป็นปกติจะเริ่มกระจายออกมาจากฐานไฝ เกิดการแผ่ลงไปในชั้นผิวหนังของร่างกายจนอาจกลายเป็นโรคมะเร็งเม็ดสีของผิวหนัง ซึ่งรักษาได้ยากที่สุดและมีอัตราการเสียชีวิตสูง แต่เนื่องจากคนไทยมีผิวหนังสีเข้มจากการมีเม็ดสีเมลานิน ทำให้เป็นโรคมะเร็งผิวหนังไม่สูงนัก แต่ก็พบได้เสมอ ดังนั้นจึง ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่หลวม ใส่สบาย ระบายเหงื่อได้ดี ใช้ครีมกันแดดเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวถูกแสงแดดมากเกินไป ซึ่งค่าเอสพีเอฟ (SPF) มาตรฐานสำหรับคนไทยควรจะอยู่ที่ 15 เนื่องจากรังสียูวีบีจะมีอยู่ในแสงแดดตั้งแต่เวลา 10.00-16.00 น. เป็นเวลา 6 ชั่วโมง ดังนั้นครีมกันแดดที่ดีที่สุดควรจะมีอานุภาพในการป้องกันได้นาน 6 ชั่วโมง และจะต้องเป็นครีมกันแดดที่เหมาะกับทุกสภาวะด้วย ส่วนค่า PA+++ จะกันความคล้ำและอาการผิวแดงได้มากกว่า PA+ การทาครีมกันแดด ควรใช้ 2 มิลลิกรัมต่อตารางเซนติเมตร หรือประมาณ 1 ข้อนิ้วชี้ ทาได้ทั่วบริเวณใบหน้า คนผิวขาวควรจะทาครีมทุกๆ 2 ชั่วโมง หรือ 1 วันจะต้องทาครีม 2-3 ครั้ง

คลายเครียด

สาธารณสุขแนะวิธีคลายเครียดเนื่องจากความร้อน
อากาศร้อนอบอ้าวชวนอารมณ์บูด ความเครียดพุ่งกระฉูด ดังนั้น นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ออกมาแนะว่า ตามหลักจิตวิทยาในช่วงอากาศร้อนจัดจะกระตุ้นให้คนเกิดอาการเครียดง่าย โดยเฉพาะคนที่มีความเครียดอยู่เดิม ซึ่งสภาพอากาศร้อนจะส่งผลกระทบออกมา 3 ด้านคือ ทางร่างกาย จิตใจ และสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น
ความเครียดที่ปรากฏให้เห็นทางร่างกาย คือ มีอาการปวดหัว นอนไม่หลับ ส่วนทางจิตใจก็คือ โมโห หงุดหงิดง่าย โดยจะส่งผลกระทบไปถึงความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นทำให้ยิ่งกระทบกระทั่งกันง่าย ซึ่งวิธีคลายเครียดที่ดีที่สุดก็คือ หางานอดิเรกทำ ฝึกสมาธิ ออกกำลังกายวันละ 30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน การออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขที่เรียกว่า เอนโดร์ฟิน ทำให้นอนหลับง่ายและหลับนานส่วนวิธีลดความเครียดที่ไม่แนะนำ คือ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะจะทำให้เส้นเลือดขยายตัว ร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้น อาจถึงขั้นช็อกได้ ซึ่งอาหารที่เหมาะสมกับฤดูนี้ก็คือ อาหารที่มีรสขมเย็น หรือเครื่องดื่มอย่าง น้ำใบบัวบก ตะไคร้ ที่จะทำให้ลดความร้อนในร่างกายได้ นอกจากนั้น การอาบน้ำบ่อย ๆ พร้อมชโลมด้วยเครื่องหอมแบบไทย ๆ ก็จะช่วยให้จิตใจผ่อนคลายมากยิ่งขึ้นที่สำคัญก็คืออย่าลืมใจเย็น ๆ กันด้วยนะคะ...

สุขภาพน่ารู้




CO-Q10 กำลังมาแรง
CO-Q10 ไม่ใช่วิตามิน แต่เป็นผู้ช่วยวิตามิน สารตัวนี้ทำหน้าที่เป็นตัวช่วยให้ระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกายกระดี๊กระด๊าขึ้น ทั้งนี้ CO-Q10 จะช่วยเสริมและกระตุ้นการทำงานของเซลล์ในร่างกาย ยิ่งเซลล์หัวใจด้วยแล้ว ยิ่งต้องการเจ้าตัวนี้อย่างมาก เพราะหัวใจคนเราทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด
CO-Q10 หาได้จากธรรมชาติ คือจากธัญพืชพวกข้าวกล้อง งา ถั่วต่างๆ และเมล็ดทานตะวัน เป็นต้น โดยปกติแล้ว ธัญพืชจะให้คุณค่ามาเป็นชุด คือให้ทั้งวิตามินอี และ CO-Q10 และการได้รับวิตามินอีกับ CO-Q10 จากธรรมชาติจะให้ผลดีต่อร่างกายมากกว่าวิตามินชนิดเม็ดที่ทำจากห้องแล็บถึง 2 เท่า จึงควรหารับประทานจากอาหารในธรรมชาติ ไม่ใช่ไปซื้อชนิดเม็ดมาทานส่วนวิตามินอีนั้นเป็นสิ่งสำคัญต่อร่างกาย แต่ร่างกายสร้างขึ้นเองไม่ได้ ต้องได้จากอาหารจำพวกธัญพืช มนุษย์ควรหาวิตามินอีเข้าสู่ร่างกายให้มากพอ ทั้งนี้ วิตามินอีจะช่วยป้องกันไม่ให้หลอดเลือดแข็ง ไม่เปราะร้าวง่าย เพราะฉะนั้น ก็เท่ากับป้องกันโรคได้หลายโรค เช่น ความดันโลหิตสูง หรือต้อกระจกก็ป้องกันได้ร่วมกับวิตามินเอวิตามินอีเด่นเรื่องการปกป้องร่างกายที่หลอดเลือด ถ้าหลอดเลือดเรายังดี ก็จะเป็นกุญแจสำคัญที่ชลอความแก่ของร่างกาย หากหลอดเลือดโทรม จะขาดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย ทำให้แก่เร็ว ผมหงอกขาว

อย่าลืมยิ้ม
ทุกกๆๆวันนะคะ








ไม่มีใครเกิดมาเพื่อใคร

ไม่มีใครเกิดมาเพื่อใคร... คนทุกคนเกิดมาเพื่อเรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเอง ทำความรู้จักกับตัวเอง และรักตัวเองให้ดีที่สุด ถ้ามีใครสักคนเคยบอกรักเราและวัน หนึ่ง..เขาจากไป... จงอย่าตั้งคำถามวกวนกับตัวเองว่าเป็นเพราะอะไร แต่ให้คำตอบกับตัวเองอย่างง่ายๆว่า เพราะมันเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติที่สุดท้าย แล้วทุกคนจะเหลือแต่ตัวเอง ไว้พูดคุยกับตัวเอง และโอบกอดตัวเองไว้ ในวัน ที่เคว้งคว้างว่างเปล่า และค้นพบว่า เราอาจเป็นมนุษย์คนสุดท้ายบนผืนโลก... วิธีเดียวที่จะทำให้เราไม่หนาวตายเพราะความเหงา นั่นก็ คือ ..การกอบเก็บความทรงจำของวันเก่าก่อนมาสุมไฟ นึกถึงรอยยิ้มที่บางคน เคย "มีให้".... นึกถึงคำที่คนบางคนเคยบอก "รัก"... และ .. นึกถึงอ้อมกอดที่บาง คนเคย "โอบรัด"... ความอบอุ่นเหล่านั้นจะให้ให้เรารอดตาย... แม้สุด ท้าย ... ภาพทุกภาพจะมอดไหม้ไปกับกองไฟกองนั้นก็ตาม อย่าหยุดที่จะหยิบยื่นความรัก ถึงแม้คุณจะไม่ได้รับมันตอบ จงยิ้มสู้และมีความอดทน.................

วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

สำหรับคนที่รักน้องแมวต้องอ่นเรื่องนี้นะ


โดยธรรมชาติของแมวเป็นสัตว์ที่รักความสะอาด ชอบเลียขนแต่งเนื้อแต่งตัวให้กับตัวเองเป็นประจำ ปกติขนที่หลุดออกมาในขณะที่เลียจะถูกกลืนลงทางเดินอาหารในปริมาณมากน้อยแตกต่างกันไป และจะถูกขับออกมาผ่านทางอุจจาระ แต่ปัญหาจะเกิดขึ้นทันทีหากก้อนขนดังกล่าวไม่สามารถขับออกมาได้ กลับสะสมอยู่ในกระเพาะหรือว่าลำไส้ และรวมตัวกันจนแน่นขึ้นเป็นก้อน ซึ่งเราเรียกว่า "แฮร์บอล (Hairballs)"
อาการของแมวที่เป็นแอร์บอล มักเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร สังเกตได้จากน้องเหมียวมีอาการอาเจียน เบื่ออาหาร หรือท้องผูก บางครั้งจะมีอาการไอแห้งๆ หรืออาการสำรอก นั้นเพราะว่าแมวต้องการจะเจียนเพื่อขับเอาก้อนขนออกมานั่นเอง และอาการไอที่เห็นนั้นก็ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติในระบบทางเดินหายใจแต่อย่างใดปกติแมวมีโอกาสที่จะมีแฮร์บอลได้ ถ้ามีการสะสมของก้อนขนในปริมาณที่มากพอ และไม่สามารถขับออกมาได้ทัน ก็จะเป็นอันตรายรุนแรงกับแมวได้ เพราะก้อนขนนั้นจะไปขัดขวางทางเดินอาหาร ลักษณะอาการที่มีก้อนขนไปอุดตันทางเดินอาหาร คือ อาเจียน ไม่ถ่ายอุจจาระ ท้องเสีย เบื่ออาหาร ท้องกาง ถ้าสังเกตเห็นอาการเหล่านี้ให้รีบพาน้องแมวไปพบสัตวแพทย์ทันทีปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ในตลาดหลายชนิดที่ช่วยป้องกันการเกิดก้อนขนอุดตัน และมีรสชาติอร่อยที่แมวชื่นชอบ โดยมีส่วนประกอบหลักคือน้ำมัน ซึ่งไม่สามารถย่อยได้โดยทางเดินอาหาร ทำหน้าที่ช่วยหล่อลื่นทางเดินอาหารและก้อนขน ทำให้ก้อนขนเคลื่อนที่ออกจากทางเดินอาหารได้ง่าย ถ้าใช้อย่างเป็นประจำต่อเนื่อง ก้อนขนก็จะไม่มีการก่อตัวขึ้นอีกนอกจากนั้น การแปรงขนเป็นประจำก็ช่วยลดปริมาณขนที่แมวกลืนลงทางเดินอาหารในขณะที่เลียขน รวมทั้งการให้แมวกินอาหารที่มีไฟเบอร์สูงก็จะช่วยแก้ปัญหาการเกิดก้อนขนเรื้อรังได้ โดยไฟเบอร์สามารถทำให้การระบายก้อนขนผ่านทางเดินอาหารเป็นปกติ ทำให้ไม่มีการค้างของเส้นขนเป็นเวลานานๆ ในทางเดินอาหาร และยังช่วยป้องกันการเกิดใหม่ของก้อนขนหรือแฮร์บอลอย่างได้ผล

อ่านเรื่องขำขำกันดีกว่านะคะ

เรื่อง สมบูรณ์เสียที
ระหว่างที่ทานมื้อเช้า ภรรยาสาวแสนสวยที่เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่ถึง 3 เดือนเข้ามาน้งตักออดอ้อนประวิทย์เหมือนจะบอกอะไรบางอย่าง เขาจึงถามเธอว่า
ประวิทย์ ... มีอะไรหรือจ๊ะที่รัก เช้านี้คุณดูอารมณ์ดีจริงๆนะ
ภรรยา ... คืองี้คะทีรัก ฉันอยากจะถามคุณว่า คุณจะดีใจไหมหากบ้านเราจะมีสมาชิกใหม่เร็วๆ นี้
ประวิทย์ ... (ดีใจจนปากสั่น) จริงหรือจ๊ะที่รักตั้งแต่แต่งงานกันผมรอคอยวันนี้มาตลอดครอบครัวเราจะได้เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์เสียที ผมดีใจที่สุดเลยนะจ๊ะ
ภรรยา ... (ดีใจมากกว่า) ดีจังเลยคะ ฉันหรือก็กลัวว่าคุณลำบากใจ งั้นเดี๋ยวฉันรีบไปโทรศัพท์บอกคุณแม่ก่อนนะคะว่าคุณไม่รังเกียจที่ท่านจะมาอยู่กับเรา
ประวิทย์ ! .....