วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2551





เด็กๆ ส่วนใหญ่มักไม่ชอบกินผักและผลไม้กันใช่มั้ยคะ? ยิ่งเป็นพวกผักใบเขียวแล้ว หลายคนถึงกับเบ้หน้าเลยทีเดียว แต่ก็คงทราบกันดีว่าผักและผลไม้มีประโยชน์ต่อร่างกายเรามาก แต่หากอยากจะได้ประโยชน์แบบเต็มร้อยล่ะก็ พี่ปาล์มมีบทความดีๆ จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ มาฝาก ฟังทางนี้ค่ะ
แก้วมังกร – แก้วมังกร ผลไม้ที่มีต้นรูปร่างแปลกๆ แต่รสชาติอร่อยไม่แพ้ผลไม้ชนิดอื่น แถมด้วยคุณประโยชน์มากมาย แต่ถ้าจะให้ดีที่สุด เวลาน้องๆ กินแก้วมังกรแล้ว อย่าลืมเคี้ยวเมล็ดสีดำเล็กๆ ให้แตกนะคะ เพราะในเมล็ดของแก้วมังกรมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ รวมทั้งวิตามินอี การเคี้ยวให้แตกจะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารเหล่านี้ได้
ส้ม - ส้มเป็นผลไม้ที่มีไบโอฟลาโวนอยด์ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสูง โดยจะมีมากในเยื่อบุผิวและเนื้อเยื่อส่วนใน ดังนั้น เวลากินส้มจึงไม่ควรลอกเยื่อบุผิวขาวๆ ออก และควรกินเนื้อส้มเข้าไปด้วย ช่วยเพิ่มกากใยอาหารอีกต่างหาก (มีส่วนช่วยในการขับถ่ายด้วยนะคะ)
ฝรั่ง - หลายคนเชื่อว่าหากกินเมล็ดฝรั่งเข้าไปแล้วจะทำให้ท้องผูกและเป็นไส้ติ่งด้วย จึงมักจะทิ้งเมล็ดไป แต่ทราบมั้ยคะว่า ความจริงแล้วเมล็ดฝรั่งมีความหวานหอมและเป็นกากใยอาหารที่ดีเยี่ยม จริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นเมล็ดอะไรหรืออาหารอะไร หากสามารถเข้าไปในไส้ติ่งได้ก็ทำให้เป็นโรคไส้ติ่งอักเสบได้ทั้งสิ้น ไม่จำเป็นต้องเป็นเมล็ดฝรั่งอย่างเดียวหรอกค่ะ (พี่ปาล์มชอบกินมากเลยนะเมล็ดฝรั่งเนี่ย อร่อยนะจะบอกให้)แครอท - ผักสีส้มที่กินแล้วผิวสวยเพราะได้ชื่อว่ามีสารเบต้าแคโรทีนสูง แต่จะได้ประโยชน์มากขึ้นหากปรุงด้วยความร้อนก่อนนำมากิน ความร้อนจะช่วยทำให้ผนังเซลล์ของแครอทอ่อนตัวลงร่างกายสามารถย่อยได้ง่ายและดูดซึมสารอาหารต่างๆ ได้ดีขึ้น (สาวๆ สนใจมั้ยคะ?)

ดูโรคจากผิวหน้า

"ปัญหาของระบบหัวใจ" อาการที่ผิวหน้า >> จะมีใบหน้าที่หมองคล้ำหรือซีดขาว อาการอื่นๆ >> มีอาการใจหวิวๆ นอนไม่ค่อยหลับ บางครั้งไม่มีสมาธิชอบหลงลืม แสดงว่าเริ่มมีปัญหาเรื่องระบบของหัวใจ ควรรีบพบแพทย์เพื่อป้องกันโดยเร็ว
"ปัญหาของระบบปอด" อาการที่ผิวหน้า >> ผิวหน้าจะแห้ง มีริ้วรอย มักแพ้ง่าย และจะเป็นสิวบนใบหน้า อาการอื่นๆ >> มีอาการตัวเย็น เหงื่อจะออกเยอะ เป็นหวัดบ่อยๆ ทั้งที่ไม่ใช่หน้าฝน
"ปัญหาของตับ" อาการที่ผิวหน้า >> ผิวหน้าหยาบกร้าน บนใบหน้าจะมีสิวฝ้า ใบหน้าจะบวม ตรงบริเวณตามีถุงใต้ตา อาการอื่นๆ >> มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ บางครั้งท้องเสียง่าย มีกลิ่นปาก รู้สึกเหนื่อยล้า ทำอะไรได้ไม่นานก็จะเมื่อยง่าย รวมทั้งอาจจะปวดฟันโดยไม่ทราบสาเหตุ
"ปัญหาของม้ามหรือระบบย่อยอาหาร" อาการที่ผิวหน้า >> ใบหน้าแดงเป็นฝ้า และหน้าซีดเซียว ฝ้าบนหน้าจะเป็นๆ หายๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ ดวงตาก็ไม่ค่อยสดใส อาการอื่นๆ >> เสียงเบา ปวดประจำเดือน สุขภาพร่างกายจะไม่ค่อยแข็งแรง
"ปัญหาของระบบไต" อาการที่ผิวหน้า >> บริเวณรอบดวงตาจะมีขอบตาคล้ำ ผิวดำหมองคล้ำ หน้าจะเป็นฝ้าดูแล้วเหมือนคนแก่ก่อนวัย อาการอื่นๆ >> ปวดปัสสาวะบ่อย นอนไม่ค่อยหลับ ปวดหลัง บางครั้งมีเสียงดังในหู ผมร่วง

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2551

7สิ่งที่ไม่ควรทำหลังทานอาหาร

7 สิ่งที่ไม่ควรทำหลังการทานอาหารจากการค้นคว้าจากผู้วชาญ ได้พบว่าหลังจากทานอาหารนั้น มีกิจกรรม 7 อย่างที่เราไม่ควรทำอย่างยิ่ง เนื่องจากจะส่งผลโดยตรงต่อร่างกายค่ะ
1. อย่าสูบบุหรี่ !!จากผลการทดลองของผู้วชาญพบว่า การสูบบุหรี่หลังอาหาร เทียบได้กับการสูบบุหรี่ยามปกติถึง 10 มวน(ทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้น ซึ่งสูบปกติก็มีโอกาสเป็นอยู่แล้ว)
2. อย่ากินผลไม้ทันทีหลังอาหาร !!เพราะมันไปพองในท้องคุณ ให้กินผลไม้ 1 หรือ 2 ชม. ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้จะดีกว่า
3. อย่าดื่มน้ำชา !!เพราะว่าใบชามีความเป็นกรดสูง ทำให้โปรตีนในอาหารที่เรากินกระด้างขึ้นทำให้ย่อยยาก
4. อย่าขยายเข็มขัดหลังกินอิ่ม !!เพราะเป็นเหตุให้ลำไส้ไม่ปกติ
5. อย่าอาบน้ำหลังกินข้าว !!เพราะการอาบน้ำ จะทำให้โลหิตไหลเวียนไปที่มือ และเท้าทั่วร่างกายเป็นเหตุให้ปริมาณโลหิตไหลเวียนบริเวณท้องก็เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่
6. อย่าเดินหลังอาหาร !!แม้คุณจะเคยได้ยินว่า กินข้าวแล้วให้เดินสัก 100 ก้าวจะทำให้อายุยืนถึง 99 ปี !?! การเดินทันทีทำให้การย่อยเพื่อดูดซึมสารอาหารทำได้ไม่ดี ควรรออย่างน้อยสักชั่วโมงค่อยเดินถ้าต้องการ
7. อย่านอนทันที !!อาหารที่รับประทานเข้าไปไม่สามารถย่อยได้เต็มที่ อาจทำให้เกิดลมหรือแก๊สในทางเดินอาหาร

คนถนัดซ้ายและโอกาส

คนถนัดซ้ายและโอกาส
ส่วนของคนถนัดซ้ายในประชากรกำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าสนใจในประเทศพัฒนาแล้วตามที่มีการสำรวจ และเชื่อว่าปรากฏการณ์นี้กำลังเกิดขึ้นเช่นกันในประเทศอื่นๆ สาเหตุของการเพิ่มสูงขึ้นนี้โยงใยอย่างน่าสนใจกับประเด็นการเลี้ยงดูลูกหลานและการที่สังคมสนับสนุนให้เยาวชนปลดปล่อยศักยภาพในยุคปัจจุบันมีหลักฐานทางโบราณคดีว่ามนุษย์ถนัดทั้งซ้ายและขวามายาวนาน นับตั้งแต่เมื่อมนุษย์ลุกขึ้นยืนบนสองขาเป็นมนุษย์เช่นผู้คนในปัจจุบันเมื่อประมาณ 150,000 ปีก่อน มนุษย์ส่วนใหญ่ถนัดขวามากกว่าถนัดซ้าย จนการถนัดซ้ายถือว่าเป็นสิ่งผิดปกติที่เลวร้ายคำว่า sinister ในภาษาละตินแปลว่า "ซ้าย" และกลายเป็นคำในภาษาอังกฤษปัจจุบันซึ่งหมายถึง "โชคร้าย" หรือ "ชั่วร้าย" ในขณะที่คำว่า "ขวา" ในหลายประเทศของยุโรปหมายความถึง "ถูกต้อง" (right ในภาษาอังกฤษ) "ความยุติธรรม" "อำนาจตามกฎหมาย" (recht ในภาษาเยอรมันและดัชต์ และ droit ในภาษาฝรั่งเศส) สำหรับจีนโบราณด้านซ้ายคือด้านไม่ดี คำว่า "ซ้าย" ในภาษาจีนกลางหมายถึง "ไม่เหมาะสม" "ไม่ถูกต้อง" ทั้งหมดนี้มีนัยยะของความเอนเอียงไปทาง "ขวา" เนื่องจากคนส่วนใหญ่ถนัดขวาการที่บุคคลหนึ่งจะถนัดขวา (จริงๆ คือถนัดมือขวา) หรือถนัดซ้ายนั้น นักวิชาการปัจจุบันเชื่อว่าเลือกไม่ได้เพราะมันมาจากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมในครรภ์ ในปี 2007 มีการพบว่ายีนส์ที่ตั้งชื่อว่า LRRTM 1 เกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นของโอกาสในการถนัดซ้าย นอกจากนี้ยังพบว่าการจะถนัดมือไหนเริ่มพัฒนาตั้งแต่อยู่ในครรภ์โดยสังเกตเห็นได้จากการวางมือใดไว้ใกล้ปากมากที่สุด มือนั้นก็จะเป็นด้านที่ถนัดในเวลาต่อมา ปัจจัยสำคัญอีกตัวหนึ่งก็คือ ปริมาณของฮอร์โมนเพศชาย (testosterone) ในครรภ์ที่ทารกเติบโตอยู่ทฤษฎีของ Norman Geschwind ระบุว่า ฮอร์โมนเพศชายจะไปกดการเจริญเติบโตด้านซ้ายของ cerebral hemisphere (บริเวณสมองซีกซ้าย) จนเซลล์สมองหรือ neurons ย้ายไปเติบโตในซีกขวาแทน ดังนั้น ทารกในครรภ์จึงมีทางโน้มที่จะถนัดซ้ายเพราะสมองซีกขวาควบคุมการทำงานซีกซ้ายของร่างกายสถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับการถนัดซ้ายก็คือ ประชากรอังกฤษในทศวรรษ 1970 มีหญิงชายอายุ 15-24 ปี อยู่ร้อยละ 11 ที่ถนัดซ้าย ซึ่งตัวเลขเดียวกันในอายุ 55-64 ปี หรือเกิดก่อนหน้าเด็กกลุ่มแรกประมาณ 40 ปี มีเพียงร้อยละ 3 ในสหรัฐอเมริกาก็พบคล้ายกันกล่าวคือ ส่วนของคนเกิดในทศวรรษ 1960 ถนัดซ้ายมากกว่าสองเท่าของคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปในสหรัฐอเมริกาเดิมเชื่อกันว่า คนถนัดซ้ายมีส่วนในประชากรเพียงประมาณ ร้อยละ 10 แต่เมื่อพิจารณาข้อมูลของประชากรอเมริกันที่ถนัดซ้าย โดยจำแนกตามปีเกิดแล้วก็จะพบว่ามีส่วนสูงขึ้นเรื่อยๆ เช่น เกิด ค.ศ.1943-1952 มีส่วนถนัดซ้ายร้อยละ 12 เกิด ค.ศ.1953-1962 ร้อยละ 13 และเกิด ค.ศ.1963-1972 ร้อยละ 15.8 (สถิติเหล่านี้มาจากการถามว่าถนัดมือข้างใดหลังจากเติบโตเป็นเยาวชนแล้ว) ในประเทศอื่นก็เชื่อว่ามีส่วนของคนถนัดซ้ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน แต่มิได้เกิดถนัดซ้ายเพิ่มขึ้นมากเพราะสาเหตุจากฮอร์โมนเพศชาย แต่เชื่อว่ามาจากการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมการเลี้ยงดูและให้โอกาสเด็กพัฒนามากกว่าอย่างอื่นChris McManus ผู้เขียนหนังสือ Right-Hand, Left-Hand ได้เสนอสาเหตุหลายประการที่ทำให้คนถนัดซ้ายมีส่วนเพิ่มขึ้นดังต่อไปนี้ (1) คนถนัดซ้ายถูกกดขี่ในศตวรรษที่ 18 และ 19 อย่างหนัก เช่น พ่อ แม่ และครูจะพยายามบีบบังคับดัดมือให้ถนัดขวา (การเขียนจากซ้ายไปขวาทำให้คนถนัดซ้ายมีความไม่สะดวก ต้องจับปากกาและวางมือไว้ข้างบนตัวอักษร) ดังนั้น คนที่ดำรงความถนัดซ้ายแต่เกิดไว้ได้จึงมีส่วนต่ำ แต่ในยุคใหม่การบีบบังคับเช่นนี้มีน้อยลง (2) เมื่อโตขึ้นคนถนัดซ้ายถูกสังคมมองว่าเป็นคนประหลาดโดยเฉพาะในสมัยก่อน คนถนัดซ้ายจึงมีโอกาสแต่งงานน้อยกว่า ดังนั้น โอกาสในการผลิตคนที่ถนัดซ้ายตามกรรมพันธุ์จึงมีน้อยลง (3) ในยุคเสรีตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมาคนถนัดซ้ายได้รับการยอมรับมากขึ้น เนื่องจากสังคมยอมรับการเป็นปัจเจกบุคคลอย่างกว้างขวางขึ้น ดังนั้น แรงกดดันให้เปลี่ยนเป็นถนัดขวาจึงมีน้อยลง (4) หญิงมีลูกตอนอายุสูงขึ้นทำให้ช่วยเพิ่มส่วนของคนถนัดซ้ายเพราะสถิติชี้ว่า หากหญิงมีลูกตอนอายุมากขึ้นก็มีทางโน้มที่จะมีลูกถนัดซ้ายมากขึ้นโดยส่วนตัวเชื่อว่าการยอมรับการถนัดซ้ายโดยพ่อแม่ ครู และสังคมในยุคเสรีเปิดโอกาสให้เด็กบรรลุศักยภาพของตนเองคือ สาเหตุสำคัญที่ทำให้เยาวชนดำรงความถนัดซ้ายตั้งแต่เกิดจนเป็นผู้ใหญ่ไว้ได้ การกีดขวางพัฒนาการของเด็กโดยเริ่มที่การพยายามเปลี่ยนการถนัดซ้ายมาเป็นขวามีน้อยลงChris McManus ชี้ว่าเมื่อพิจารณาประวัติศาสตร์จะพบว่าคนถนัดซ้ายมีส่วนของคนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง สูงกว่าคนถนัดขวาเนื่องจากสมองของคนถนัดซ้ายถูกสร้างให้แตกต่างกว่า โดยขยายขอบเขตของความสามารถโดยเฉพาะในด้านภาษาและศิลปะ เขาเชื่อว่าปรากฏการณ์เพิ่มขึ้นของส่วนคนถนัดซ้ายจะเป็นผลดีแก่โลกในอนาคตคนสำคัญในโลกที่ถนัดซ้าย ได้แก่ Alexander the Great/ Julius Caesar/ Napoleon Bonaparte/ รวมทั้ง Colin Powell และ Norman SchwarzkopfLeonardo da Vinci/ Michelangelo/ Pablo Picasso/ Ludwig van Beethoven/ Paul McCartney/ Ringo Starr ถนัดซ้ายเช่นเดียวกับนักกีฬาเทนนิส เช่น Rod Laver/ Jimmy Connors/ John McEnroe/ Martina Navratilova นักการเมืองถนัดซ้าย ได้แก่ Gerald Ford ประธานาธิบดีบุช (ผู้พ่อ) Bill Clinton/ Ross Perot (ทั้ง 3 คนหลังเป็นผู้สมัครประธานาธิบดีในปี 1992 เหมือนกัน)ราชวงศ์อังกฤษ เช่น Queen Elizabeth II (พระราชินีองค์ปัจจุบัน) เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ และเจ้าชายวิลเลียม รวมทั้ง Queen Mother (พระราชมารดาพระราชินีองค์ปัจจุบัน) ก็ล้วนถนัดซ้ายคนถนัดซ้ายที่มักเรียกกันในภาษาอังกฤษว่า southpaw (บ้างก็ว่าคำนี้มีที่มาจากกีฬา baseball บ้างก็ว่าอยู่ในพจนานุกรมอังกฤษก่อนกีฬาเบสบอลเกิดอีก) นั้นมีชีวิตที่ลำบากพอควรไม่ว่าการหาเก้าอี้ที่เป็นแผ่นรองเขียนถนัดมือ หาอุปกรณ์กีฬาสำหรับคนมือซ้าย เช่น ไม้กอล์ฟ เล่นกีฬาฮอคกี้ไม่ได้ (กติกาบังคับห้ามถือไม้ในมือซ้าย) ปืนสั้นบางรุ่นที่สร้างมาสำหรับคนถนัดขวา ฯลฯ ในช่วงเวลานี้ที่กีฬากำลังฮิต นักชกมวย southpaw ถือว่าได้เปรียบเพราะนักชกถนัดขวามักคาดเดากำปั้นที่ลอยมายากขึ้น หากเล่นโปโลน้ำโดยคนเล่นมักถนัดบุกทางปีกขวา คนถนัดซ้ายก็ได้เปรียบเพราะยิงประตูถนัดกว่าด้วยมือซ้าย ในเทนนิสคนที่ถนัดขวาแต่เคยชินกับการเล่นกับคนถนัดซ้ายก็ได้เปรียบมาก เช่น Rafael Nadal นักเทนนิสสุดดังในขณะนี้งานวิจัยของ Johns Hopkins University ในปี 2006 พบว่าชายที่เรียนจบมหาวิทยาลัยที่ถนัดซ้ายโดยเฉลี่ยมีรายได้สูงกว่าคนถนัดขวาร้อยละ 25 (หากเรียนไม่จบ คนถนัดซ้ายก็ยังสูงกว่าร้อยละ 15 อยู่ดี) ดังนั้น ถึงแม้จะถูก "กดขี่" ในสมัยก่อน แต่ในยุคเสรีคนถนัดซ้ายมีโอกาสแสดงออกซึ่งศักยภาพอย่างเต็มที่เพียงการปลดปล่อยให้เด็กถนัดซ้ายได้มีการพัฒนาอย่างเสรีดังเช่นในปัจจุบันยังเกิดผลดีเช่นนี้ ถ้าพ่อแม่ยอมให้ลูกได้มีโอกาสพัฒนาตนเองตามที่เขาชอบและถนัดแล้ว ลองจินตนาการดูว่าจะเกิดผลดีแก่เขามากมายเพียงใดที่มา หนังสือพิมพ์มติชน

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2551




ความเป็นมาของวันแม่
ชาวอเมริกันเป็นผู้กำหนดให้มีวันแม่อย่างเป็นทางการขึ้น และผู้ที่พยายามเรียกร้องให้มีวันแม่ในอเมริกา คือ แอนนา เอ็ม. จาร์วิส คุณครูแห่งรัฐฟิลาเดลเฟีย แต่กว่าเธอจะประสบความสำเร็จก็ครบ 2 ปีพอดีในปี ค.ศ.1914 (พ.ศ.2457) โดยประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน ได้มีคำสั่งให้ถือวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ และดอกไม้สำหรับวันแม่ของชาวอเมริกันก็คือดอกคาร์เนชั่น ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือถ้าแม่ยังมีชีวิตอยู่ให้ประดับตกแต่งบ้าน หรือประตูด้วยดอกคาร์เนชั่นสีชมพู แต่ถ้าแม่ถึงแก่กรรมไปแล้วให้ประดับด้วยดอกคาร์เนชั่นสีขาว
สำหรับในประเทศไทยนั้นมีการจัดงานวันแม่ขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2486 ณ.สวนอัมพร โดยมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้จัดงาน แต่เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 งานวันแม่ในปีต่อมาจึงต้องงดไปโดยปริยาย หลังจากผ่านพ้นวิกฤติสงครามไปแล้ว หลายหน่วยงานได้พยายามรื้อฟื้นให้มีวันแม่ขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และมีการเปลี่ยนกำหนดวันแม่ไปหลายครั้ง แต่กำหนดวันแม่ที่ประชาชนนิยม และเป็นที่รับรองของรัฐบาล คือวันที่ 15 เมษายน โดยเริ่มจัดมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2493 กำหนดงานวันแม่ในวันนี้ยังดำเนินต่อมาอีกหลายปี ก็ต้องมาหยุดชะงักลงอีก ด้วยเหตุผลที่ว่าสภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้จัดงานวันแม่ขาดผู้สนับสนุน ซึ่งก็คือกระทรวงวัฒนธรรมที่ถูกยุบไปนั่นเอง
ต่อมาสมาคมครูคาทอลิกแห่งประเทศไทย เห็นว่าควรมีการจัดงานวันแม่ต่อไป จึงได้รื้อฟื้นงานวันแม่ขึ้นมาอีก และได้กำหนดให้จัดงานวันแม่ คือวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ.2515 แต่จัดได้เพียงปีเดียวก็เลิกไป จนกระทั่งในปี พ.ศ.2519 คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์เห็นว่าควรกำหนดวันแม่ให้แน่นอนเสียที จึงได้กำหนดวันแม่ใหม ่โดยให้ถือว่าวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ และ กำหนดให้ดอกมะลิเป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ตั้งแต่นั้นมา
เหตุผลที่ให้ดอกมะลิ เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ ก็เนื่องจาก ดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์ ส่งกลิ่นหอมไปไกลและหอมได้นาน อีกทั้งยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลาย... นักภาษาศาสตร์ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า คำว่า "แม่" ของทุก ๆ ภาษา มาจากการออกเสียงของเด็ก โดยคำขึ้นต้นด้วยพยัญชนะริมฝีปากคู่ (Bilabial) ได้แก่ ม , พ , ป ,บ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นพยัญชนะชุดแรกที่เด็กสามารถทำเสียงได้ โดยการใช้ริมฝีปากบนและล่าง ดังเช่น
ภาษาไทย แม่
ภาษาจีน ม๊ะ หรือ ม่า
ภาษาฝรั่งเศส la mere (ลา แมร์)
ภาษาอังกฤษ mom , mam
ภาษาโซ่ ม๋เปะ
ภาษามุสลิม มะ
ภาษาไทใต้คง เม
เป็นต้น

11 วิธีกินอย่างฉลาด



ข้อแนะนำให้เราปฏิบัติตามวิธี 11 ข้อ ดังนี้
1.กินพออิ่มด้วยการตักอาหารกะปริมาณพอดี เช่น ข้าวสวย 1-2 ทัพพี ผัก 4-6 ช้อน กินข้าวเนื้อสัตว์ 2-3 ช้อน กินข้าว ผลไม้ 1-2 ส่วนหรือประมาณ 8-16 ชิ้นคำ และน้ำสะอาด 1-2แก้ว​
2.ไม่กินทิ้งกินขว้าง​
3.เลือกอาหารดีมีคุณค่าราคาถูก อาหารประเภทโปรตีนอาจใช้เต้าหู้หรือถั่วเมล็ดแห้งผสมรวมกับเนื้อสัตว์ เลือกกินอาหารที่มีในท้องถิ่น ผักพื้นบ้านที่หาง่าย​
4.กินผักผลไม้ไทยแทนของหวาน โดยเฉพาะผลไม้ตามฤดูกาลจะมีราคาถูกและไม่มีน้ำตาลกะทิ ทำให้อ้วน​
5.ลดการกินจุบจิบ
6.ดื่มน้ำเปล่าดีที่สุด ลดหรืองดเครื่องดื่มที่มีรสหวานต่างๆ​
7.กินอาหารไทยจะมีราคาถูกและได้รับคุณค่าทางอาหารครบถ้วน​
8.ลดการสั่งอาหารราคาพิเศษ เช่น การเพิ่มลูกชิ้น ข้าวหรือกับข้าว จะสิ้นเปลืองและทำให้อ้วน
9.งดการกินอาหารมื้อดึก
10.เคี้ยวอาหารช้าๆอย่ารีบร้อน จะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วกว่า เพราะร่างกายของคนเราจะอิ่มเมื่อกินอาหารไปประมาณ 20 นาที​
11.เลี้ยงลูกด้วยนมแม่แทนนมกระป๋อง ช่วยประหยัดและสร้างภูมิคุ้มกันทางกายและทางใจแก่เด็ก​
นอกจากนี้ เรายังต้องฉลาดในการเลือกปรุงอาหารที่มีประโยชน์ และราคาประหยัด ทั้งหมด 7 ข้อ ได้แก่
1.ปรุงอาหารกินเองที่บ้าน
2.ดัดแปลงอาหารที่เหลือเป็นอาหารจานใหม่​
3.ทำอาหารปริมาณมากกินได้หลายมื้อ
4.ใช้เครื่องปรุงรสแต่น้อยเท่าที่จำเป็น​
5.หุงข้าวผสมข้าวโพดถั่ว เผือก มัน ช่วยประหยัดข้าว​
6.ดัดแปลงเมนูอาหารเลือกใช้วัสดุที่มีความใกล้เคียงกันแต่ราคาถูกกว่า
7.อาหารบางชนิดซื้อถูกกว่าปรุงกินเอง​

ประโยชน์จากธรรมชาติ






มีเคล็ดลับสุขภาพ ด้วยการดื่มน้ำผลไม้มาฝากกันค่ะ เพราะน้ำผลไม้หลายๆ ชนิด ก็ช่วยป้องกันเราจากอาการเจ็บป่วยได้ด้วย แต่มีข้อแม้นิดนึงว่า ควรดื่มน้ำผลไม้ที่คั้นสดๆ เท่านั้น จะได้ไม่เสียคุณค่าอาหารไปค่ะ เอาล่ะ... มาดูกันซิว่ามีน้ำอะไรบ้าง?
น้ำส้ม>> อุดมไปด้วยวิตามินซี (Vitamin C) สูง และยังมีวิตามินเอ (Vitamin A) และวิตามินบี1, บี2 (Vitamin B1, B2) ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และป้องกันโรคไข้หวัด
น้ำมะนาว >> อุดมไปด้วยวิตามินซี (Vitamin C) และมีวิตามินบี2 (Vitamin B2) รวมถึงแร่ธาตุต่างๆ ช่วยป้องกันไข้หวัด และยังช่วยรักษาผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง
น้ำมะละกอ >> อุดมไปด้วยวิตามินเอ (Vitamin A) สูง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาท้องผูก อาหารไม่ย่อย เพราะในมะละกอสุกจะมีเอนไซม์ปาเปอิน (Papain Enzyme) ที่ช่วยย่อยสารอาหารประเภทโปรตีน ทั้งยังมีคุณสมบัติเป็นยาระบายอ่อนๆ ด้วย
น้ำแอปเปิ้ล >> อุดมไปด้วยวิตามินเอ (Vitamin A) และวิตามินซี (Vitamin C) เหมาะสำหรับน้องๆ ที่ต้องการดูแลเล็บเป็นพิเศษเพราะน้ำแอปเปิ้ลจะช่วยให้เล็บแข็งแรง หรือน้องๆ จะทานแอปเปิ้ลสดก็ได้เหมือนกันนะคะ
น้ำมะเขือเทศ >> อุดมไปด้วยวิตามินเอ (Vitamin A) และวิตามินซี (Vitamin C) ป้องกันความเสื่อมของเซลล์ เพราะในมะเขือเทศมีสารไลโคปีนที่ช่วยเรื่องการชะลอความแก่ นอกจากนี้ มะเขือเทศยังมีสารที่ช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งที่ต่อมลูกหมากด้วย (น้ำมะเขือเทศนี้ พี่จูนขอบายค่ะ ทานมะเขือเทศสดๆ จะดีกว่า แหะๆ)
น้ำแตงโม >> อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน และวิตามินเอ (Vitamin A) ช่วยล้างไต ขับปัสสาวะ และช่วยบำรุงรักษาผิวพรรณ
น้ำฝรั่ง>> อุดมไปด้วยวิตามินซี (Vitamin C) ช่วยป้องกันไข้หวัด สร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย และช่วยบำรุงผิวพรรณ
น้ำกล้วยหอม >> ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี และช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ นอกจากนี้ ยังช่วยในเรื่องของการควบคุมอาหารได้ดีอีกด้วย เพราะจะทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็ว (บางคนนิยมทานกล้วยหอมครึ่งผลก่อนมื้ออาหาร)